จากประวัติศาสตร์ของไทย กลุ่มบุคคลที่ประกอบด้วยทหารและพลเรือนที่รวมตัวกันในนามของ "คณะราษฎร" ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองและเปลี่ยนระบบการปกครองของไทย จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นสิ่งที่พวกเราเรียกกันว่า "ประชาธิปไตย" ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวถือได้ว่าเป็นผู้ที่บุกเบิกนำประชาธิปไตยมาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และนับแต่นั้นมาสภาพการเมืองของไทยก็เป็นการเมืองที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทหารและระบบราชการมาโดยตลอด
ผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองนั้นมักพยายามจะอ้างเสมอว่าทำการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประชาชนกลับมีส่วนร่วมทางการเมืองและได้รับผลประโยชน์จากการปกครองของผู้นำทางการเมืองน้อยมาก ประชาชนโดยทั่วไปมักจะขาดสิทธิและความสำนึกถึงสิทธิของตนในการที่จะใช้การเมืองตามระบอบประชาธิปไตยเพื่อผลประโยชน์ของตนอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกันกลไกทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่น รัฐสภา และพรรคการเมือง ก็ไม่ได้แสดงบทบาทให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่อย่างจริงจังว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมอย่างแท้จริง โดยนักการเมืองมักจะถูกพิจารณาว่าทำหน้าที่เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวกเท่านั้น
ความอ่อนแอของสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทำให้สถาบันในระบบราชการ โดยเฉพาะทหารเข้ามามีอำนาจทางการเมืองของประเทศอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการแสดงอิทธิพลและอำนาจของทหารในการเมืองไทยนั้น จะปรากฏออกมาในหลายรูปลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยหลังการทำรัฐประหารสำเร็จ ผู้นำทหารอาจเข้าทำการปกครองประเทศและใช้อำนาจทางการเมืองโดยตรง โดยอาจตั้ง "สภาปฏิวัติ" หรือ "สภาปฏิรูป" ขึ้นมาทำการปกครองชั่วคราว และแปรสภาพเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายในระยะเวลาต่อมา โดยบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมีอำนาจตัดสินใจในนโยบายของประเทศมักจะประกอบด้วยนายทหารประจำการชั้นสูง ขณะเดียวกันสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอาจได้รับการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับการปกครองของตน โดยสถาบันต่างๆเหล่านี้แทบจะไม่มีบทบทาเลยในทางปฏิบัติ
อีกรูปแบบหนึ่งของการแสดงอำนาจในการเมืองไทยของฝ่ายทหาร จะปรากฏออกมาในรูปของการจัดตั้งรัฐบาลหลังการรัฐประหาร โดยแต่งตั้งพลเรือนให้เป็นหัวหน้ารัฐบาลอย่างเป็นทางการ แต่ฝ่ายทหารก็จะตั้ง "สภาที่ปรึกษา" ขึ้นมาคอยให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลพลเรือนที่ฝ่ายทหารจัดตั้งขึ้น ซึ่งมักจะปรากฏว่าคำปรึกษาของฝ่ายทหารนั้นจะเป็นตัวกำหนดนโยบายที่ฝ่ายรัฐบาลพลเรือนต้องปฏิบัติตาม และเช่นเดียวกันสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะสถาบันนิติบัญญัติก็จะถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อความชอบธรรมของการใช้อำนาจปกครองประเทศ
สภาพการเมืองของไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทหารเป็นส่วนใหญ่ เพราะสถาบันทหารอยู่คู่กับประเทศ มีความใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์มาแต่อดีต และยังมีความเป็นปึกแผ่น มีระเบียบวันัย แล้วยังมีกำลังและอาวุธที่สามารถใช้เพื่อการมีอำนาจทางการเมืองได้โดยตรง อีกทั้งความล้มเหลวของสถาบันต่างๆในระบอบประชาธิปไตยมักจะปรากฎให้เห็นบ่อยครั้ง จึงส่งผลให้ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองของประเทศอยู่ตลอดเวลา
การต่อต้านอำนาจของฝ่ายทหารในการเมืองของไทย ที่นำไปสู่การเรียกร้องการปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดขึ้นหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น "วิกฤติการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516" จนถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 (พฤษภาทมิฬ) เหตุการณ์ทั้งสองช่วงเวลานั้นทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้เรียกร้องประชาธิปไตยจำนวนมาก แต่เหตุแรงร้ายเหล่านี้ก็ยุติลงได้ด้วยพระบารมีและบทบาทของพระเจ้าอยู่หัว ผู้ที่เป็นที่พึ่งและศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ
แต่..การที่ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองหลายครั้งนั้น ใช่ว่าจะเป็นเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตน แต่เป็นเพราะการคำนึงถึงประเทศชาติเสียมากกว่า จากสภาพการณ์ดังเช่นนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าเป็นสภาพการณ์ที่ผิดไปจากหลักทางความคิดของประชาธิปไตยตะวันตก แต่ที่เป็นเช่นนั้น เราก็ไม่อาจสรุปได้ว่าสิ่งที่เป็นมาใช่ว่ามันจะไม่เป็นผลดี
ประชาธิปไตยแบบตะวันตกนั้นจะยอมรับการมีส่วนร่วมในการปกครองของประชาชน ความเสมอภาคเท่าเทียมกันของประชาชนในสังคม และการเคารพในหลักการปกครองโดยกฎหมาย
แต่วัฒนธรรมทางสังคมและการเมืองการปกครองของสังคมในไทยนั้น จะยอมรับและให้ความสำคัญกับหลักการที่ไม่ค่อยสอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยมากนัก
ในวัฒนธรรมทางสังคมของไทยนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า ประชาชนจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนชั้นกว้างๆ คือ ชนชั้นปกครองและชนชั้นใต้ปกครอง ซึ่งจะไม่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างชนชั้นทั้งสอง ดังนั้นการมีส่วนร่วมของคนในสังคมตามความคิดที่ว่า อำนาจการปกครองเป็นของประชาชน เป็นการปกครองโดยประชาชนและเพื่อประชาชนนั้น จึงไม่มีอยู่ในความนึกคิดของคนในสังคม การมีส่วนร่วมของชนชั้นใต้ปกครองในสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะออกมาในรูปแบบของการยอมรับความเป็นผู้นำและอำนาจการปกครองของชนชั้นปกครองมากกว่า
ในสังคมของประเทศเรา ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เรียกว่า ความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ ซึ่งถือเป็นกลไกทางสังคมที่สำคัญ ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูงกว่ากับชนชั้นที่ต่ำกว่า เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ทำด้วยความสมัครใจโดยไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมาย และทั้งสองฝ่ายต่างก็พอใจ เพราะได้รับผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แม้ผลประโยชน์ที่ได้รับนั้นจะไม่เท่าเทียมกันก็ตาม แต่ความสัมพันธ์แบบนี้ก็ทำให้สังคมดำเนินไปได้อย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์นั้นถือได้ว่าค่อนข้างแตกต่างจากความสัมพันธ์ในสังคมประชาธิไตยแบบตะวันตก เพราะในสังคมประชาธิปไตยแบบตะวันตกจะให้ความสำคัญอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีข้อกำหนด ตลอดจนเงื่อนไขที่ตายตัว ผูกยึดไว้กับเงื่อนไขที่มีผลทางกฎหมายได้
ปัญหาของประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่เกิดขึ้นในไทย
- ความคิด ตลอดจนรูปแบบการปฏิบัติของประชาธิปไตยแบบตะวันตกนั้น เป็นเรื่องแปลกใหม่
- พรรคการเมืองเป็นการรวมกลุ่มของชนชั้นสูงเพื่อสนับสนุนบุคคลเพียงบางคนให้มีอำนาจทางการเมือง
- ประชาชนไม่เห็นความสำคัญของการเลือกตั้ง
- การโกงกินกันในระบบของการเมือง เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
การนำประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาใช้นั้นอาจจะยังมีปัญหาอยู่มาก และยังผิดเพี้ยนไปจากแบบเดิมมากอยู่ แต่ที่เป็นเช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะเกิดจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมทางการเมืองและสังคมก็เป็นได้
. _______________________________ .
ตัวของผู้เขียนนั้นมีความรู้สึกศรัทธาและเคารพในแนวความคิดของพุทธปรัชญามาเสมอ จึงขอยกนำแนวความคิดทางการเมืองในพุทธศาสนามากล่าวถึงในที่นี้
ผู้เขียนเห็นว่าประเทศไทยของเรา เป็นประเทศที่มีความโชคดี โชดดีในที่นี้คือการที่เราประชาชนชาวไทยนั้นได้มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงไว้ด้วยคุณธรรมเป็นที่ยิ่ง พระมหากษัตริย์ของเรานั้นทรงเป็นธรรมราชาอย่างแท้จริงตามแนวความคิดของพุทธศาสนา พระองค์ทรงดำรงไว้ด้วยทศพิธราชธรรม จักกวัตติสูตร ตลอดจนราชสังคหวัตถุ4 ซึ่งเป็นธรรมที่คู่ควรกับพระราชา พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงพระเมตตาที่ทรงห่วงใยประชาชนของพระองค์เสมอ เหตุการณ์ทางการเมืองที่ก่อให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ (14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และ พฤษภาคม พ.ศ.2535) ถ้าไม่ไช่เพราะพระบารมีและบทบาทของพระองค์ เหตุการณ์วิปโยคร้ายแรงเหล่านั้นคงจะบานปลาย ลุกลามใหญ่โตเป็นแน่แท้ ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนเชื่อว่า ประชาชนชาวไทยทุกผู้คน คงรู้สึกไม่แตกต่างไปจากผู้เขียน คือ รักและเทิดทูนพระองค์อย่างถึงที่สุด
ทศพิธราชธรรม - คุณธรรมของพระราชา
1. ทาน 2. ศีล
3. การบริจาค 4. ความซื่อตรง
5. ความอ่อนโยน 6. ความเพียร
7. ความไม่โกรธ 8. ความไม่เบียดเบียน
9. ความอดทน 10. ความไม่พิโรธ
ราชสังคหวัตถุ4 - หลักการสงเคราะห์ประชาชนของนักปกครอง
1. สัสสเมธะ ฉลาดบำรุงธัญญาหาร
2. ปุริสเมธะ ฉลาดในการบำรุงข้าราชการ
3. สัมมาปาสะ ประสานรวมใจประชาชน
4. วาชไปยะ มีวาทะตรึงใจ
. _______________________________ .
ส่งท้าย..
แรกเริ่มนั้น ตั้งใจที่จะเขียนเป็นบทความที่เกี่ยวเนื่องกับปรัชญาทางการเมือง แต่..ไปๆมาๆ ทำไมมันถึงได้กลายเป็นบทความที่เกี่ยงโยงถึงประชาธิปไตยในรูปแบบของรัฐศาสตร์ไปได้ก็ไม่รู้ (เง้อๆๆๆๆๆๆๆๆ)
ผู้เขียนเองนั้นไม่ได้มีอคติกับทหารและระบบราชการแต่ประการใด อีกทั้งบุพการีของผู้เขียนก็ประกอบวิชาชีพทางราชการด้วยเช่นกัน (^-^) แต่ที่กล่าวถึงทหารกับการเมืองในไทยนั้น เป็นเพราะผู้เขียนต้องการแสดงความคิดเห็นที่ว่า สังคมในไทยนั้น เป็นสังคมที่ดูเหมือนจะยังไม่พร้อมที่จะปรับเข้าสู่รูปแบบของการเป็นสังคมประชาธิปไตยแบบตะวันตก สังคมไทยคุ้นชินกับระบบอุปถัมภ์ที่พันผูกจนแนบแน่นในความสัมพันธ์ของสังคม ผู้เขียนเองคิดว่า รูปแบบการปกครองของไทยควรที่จะพัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและการใช้ชีวิตของคนไทยเสียมากกว่าการที่เราต้องคอยตามรูปแบบของตะวันตกไปเสียทุกเรื่อง
ผู้เขียนก็รู้สึกงงๆที่จะนำแนวคิดทางปรัชญาไปสอดแทรกในเนื้อความตอนไหนดี จึงขอสรุปจบแบบห้วนๆในรูปของประชาธิปไตยในแบบรัฐศาสตร์เสีย (>__<) ต้องกราบขออภัย ที่อาจจะผิดวัตถุประสงค์ของการเริ่มเขียนบล็อกในครั้งนี้ด้วย (เอิ๊กๆๆๆ.)
สุดท้ายและท้ายสุด
ผู้เขียนขอขอบพระคุณ แหล่งความรู้ที่ได้อบรมวิชาการ ทั้งจากมหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ไว้ที่นี้ด้วย
อืมๆๆ เห็นด้วยนะ
ตอบลบประมาณว่า ไม่เคยมองในมุมนี้เลยง่ะ
ได้ความรู้เพิ่ม อีกแล้ว
บางทีประเทศไทยดู จะยังไม่พร้อมจริงๆ อ่ะแหละ
หรือเราจะกลับไป แบบ สมบูรณาฯ กันใหม่ ดีกว่า
^^
อ่านง่าย เข้าใจไม่ยาก
นึกว่านั่งอ่าน บทวิจารณ์ การเมืองไทย
..
ปล.โพล ที่หน้าโปรไฟล์ กล้ามากอ่ะ
ขอด่าเป็นการส่วนตัว ไม่อยากออกสื่อ 555+
บทความวิชาการเว่ออออออ . . . - -"
ตอบลบอ่านไปแอบเบื่อ . . . แต่มันก็ทำให้มองเห็นจริง ๆ
อ่านไปแล้วมาคิดตามมันทำให้เห็นมุมอีกมุมที่ไม่เคยเห็น
ได้ความรู้ใหม่มากมายยยย . . . เลยยยยย ^^"
ประชาธิปไตยไทย ไม่ได้อ่อนแอนะ
ตอบลบแต่แค่ ยืดหยุ่นแปร สภาพไปตามยุคตามสมัย
แต่ คนไทยนี่เก่งเรียนสูงความรู้เยอะ
เลยใช้ ความยืดหยุ่นของ ประชาธิปไตยแสวงหาผลประโยชน์
ตราบใดที่ยังมีการโกงกินกันในระบบของการเมือง เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
ตอบลบคำว่าประชาธิปไตยก็ไร้ความหมายอ่า า
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับผม
ตอบลบอาท
ตอบลบได้ข่าวว่าเราเขียนเรื่องใกล้ ๆ กัน
แต่ของแกแลดูจะมีสาระมากกว่าเค้าอะ
..
เขียนมาเขียนไปก็นึกในใจ (ไม่กล้าเปล่งเสียง)ว่าแล้วทำไมเราจะต้องมาปกครองแบบประชาธิปไตยด้วยอะ
ทำไมถึงไม่เอาแบบเดิม(สมบูรณาญาสิทธิราชย์) เพราะพระมหากษัตริย์ของเราท่านก็บันดาลสุขให้เราได้อยู่แล้ว ชิว ๆ
ไปละ
ไม่น่าเชื่อ .. ว่าสาระอยู่ใกล้ตัว ฮ่า ๆ ๆ ๆ
เห็นด้วย ประเทศไทยยังไม่พร้อมหรอก
ตอบลบปะ ปะ!!! กลับไปแบบ สมบูรณาฯ กานดีฟ่า
ประชาธิปไตย คือ อะไร
ตอบลบตอนนี้ในประเทศไทย
ิงิงิ
เห็นด้วยเลยที่ว่า ประเทศเรายัง ไม่เหมาะสมกับระบบนี้
ตอบลบเพราะ ประชาธิปไตยที่ได้มานั้น เป็นประชาธิปไตยที่ไม่บริสุทธฺ์
สังคมเมืองเราก็งี้แหละ เงินทุนเป็นที่ตั้ง
ใครมีเงินมากลงทุนมาก คนที่อยู่ๆ เดินไปแค่กากบาท
แลกกับ เงิน 300ต่อคน ใครจะไม่เอาจริงมั๊ย
และคนส่วนใหญ่รู้กันหรือป่าวว่า ประชาธิปไตยที่บริสุทธฺ์ มันเป็นยังไง
สรุป เมืองไทยเราถือว่า เกินครึ่งที่ ล้มเหลวกับประชาธิไตย
ขอบคุณที่ได้นำเสนอประเด็นให้เข้าใจในด้านของคุณ เวลาอ่านเข้าใจได้แต่สำหรับคนที่ไม่สนใจประวัติศาสตร์ทางการเมื่องอาจะต้องมีคำ
ตอบลบ-ขยายถึงคณะราษฎร์นิดหนึ่ง เพราะเดาไม่ออกใครกัน
-อะไรทำให้คนไทยขาดสิทธิและจิตสำนึก มองเรื่องของการเตรียม การปูพื้นฐาน การสร้างความเข้าใจในสิทธิในระบบประชาธิไตย
-เราขาคจิตสำนึกในหน้าที่,ศีลธรรมและจริยธรรม ไม่เห็นผลประโยชน์รวมขีดเส้นที่ผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ทั้งหมดเกิดจากอะไร
การเขียนอะไรให้อ่านง่ายๆ คนเดี๋ยวนี้ชอบมากกว่าอ่านแล้วต้องคิดอีกสองรอบจึงเข้าใจ
อย่างไรก็ตามชอบที่มีการแบ่งปันความรู้นะค่ะ ชอบเชย
ฮาโลฮาโล เกซอนซีตี้
ไม่น่าเชื่อว่าอีเพื่อนสาวจะมีแนวคิดมากมายได้ขนาดนี้
ตอบลบหน้าตาก็ดูโง่ๆซื่อๆ
55+
(ล้อเล่น)
แต่แม่งมันเจ๋งหว่ะ
อืม คิดว่าประเทศไทยเรายังไม่ได้ใช้ระบบประชาธิปไตยกันจริงๆ
ตอบลบเหอะน่าเหนื่อย ปวดหัว
สิ่งดีๆ ความคิดดีๆ ใครๆก็มีได้
แต่มันมีน้อยคนที่คิดได้แล้วนำไปปฏิบัติ
ถ้าเรารู้จักปรับและยอมรับกันก็คงจะดี
ตอบลบประเทศไทยใช้สิ ใช้บ่อยด้วย ไอระบบประชาธิปไตยขอคนไทย อะ
ตอบลบใช้สิทธิ์ ในการช่วยเหลือพวกพ้องโดยไม่เลงเห็นถึงความถูกต้อง
ใช้ ข้ออ้างของคนหมู่มาก ในการที่จะทำอะไร ก็ ได้ตามอำเพอใจ
YoYo...
คุณอาร์ต
ตอบลบมาช้า..ดีกว่าไม่มา
เพิ่งจะมีโอกาสเข้ามาอ่านความคิดของอาร์ต
เจ๋งหว่ะ...อาร์ตเป็นอีกคนที่เป็นเครื่องยืนยันว่า
"กายปรากฏ กับ ทัศนะปรากฏ เป็นคนละเรื่องกัน"
อาร์ตมีความคิดความอ่านดี แบบขัดแย้งกับบุคลิคของอาร์ต
ข้อแนะนำนิดเดียว...บุคลิคของอาร์ตเหมือนเป็นคนสนุกสนาน
ลองใส่รสชาติแบบหนุกหนานเข้าไปในบทความของอาร์ต บางทีจะดึงคนอ่านที่เป็นรุ่นราวคราวเดียวกันได้มากขึ้น
ไงก็ตาม...นายแน่มาก... Confirm !
...อาจารย์แรก...
คณะราษฎร
ตอบลบคือ กลุ่มปัญญาชนซึ่งได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ ฝ่ายพลเรือนซึ่งมีผู้นำคือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี พนมยงค์ และร้อยโทประยูร ภมรมนตรี ฝ่ายทหาร ซึ่งมีผู้นำคือ พระยาพหลพลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช พันเอกพระยาฤทธิอัคเนย์ พันตรีหลวงพิบูลสงคราม รวมกลุ่มเรียกว่า คณะราษฎร เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คณะราษฎรดำเนินการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จ ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475
ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้อีกแล้ว
ตอบลบพอเป็นความรู้ในการสอบไม่น้อยเลยค่ะ
ตอบลบ