วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม กับ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย

การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาสิทธิ์ราชย์มาเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2475 เมื่อรัชกาลที่ 7 ทรงขึ้นครองราชย์ได้ 7 ปี ก็ได้มีกลุ่มทหารหรือพลเรือนซึ่งเรียกว่า "คณะราษฎร" ภายใต้การนำของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา และบุคคลสำคัญที่เป็นแกนนำ คือ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช, พ.อ.พระยาฤทธิ์อาคเนย์, พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม (จอมพล ป.พิบูลสงคราม), พ.ท.พระประศาสน์พิทยายุทธ และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ท่านปรีดี พนมยงค์) ได้ทำการยึดอำนาจการปกครอง โดยอัญเชิญ ร.7 ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ต่อมาได้สถาปนารัฐธรรมนูญฉบับแรกขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

ท่านปรีดี พนมยงค์ เกิดที่จังหวัดอยุธยา จากครอบครัวที่มีอันจะกินและมีการศึกษา บิดาเป็นเจ้าหน้าที่อนามัยที่มีความคิดที่นำสมัย มียายอบรมเลี้ยงดูซึ่งเป็นคนหัวโบราณ ท่านจึงได้สัมผัสกับความคิดที่ขัดแย้งระหว่างความคิดเก่ากับความคิดใหม่ตั้งแต่เด็ก ยายเป็นคนเคร่งศาสนาจึงปลูกฝังให้เห็นความสำคัญของศาสนา และที่โรงเรียนท่านได้ซึมซับแนวความคิดสมัยใหม่จากครุที่มาจากชนชั้นกลางที่เริ่มสงสัยและถามเกี่ยวกับอำนาจอันชอบธรรมของพระมหากษัตริย์ ความคิดก้าวหน้าของเขาได้มาจากการศึกษาแนวความคิดตะวันตกเมื่อตอนไปศึกษากฎหมายและเศรษฐศาสตร์ที่ฝรั่งเศส และที่นี่เขาได้รับแนวคิดของมาร์กซ์และเองเกลส์ด้วย

ท่านปรีดีแตกต่างจากสมาชิกคณะราษฎร เพราะท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้ศึกษาเศรษฐศาสตร์อย่างลึกซึ้ง และเป็นผู้เดียวที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับผลของการพัฒนาทางเศรษฐกิจต่อการดำรงชีวิตของคนในแต่ละวัน ท่านปรีดีได้ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจขึ้นมาตามคำทาบทามของคณะราษฎร โดยท่านมีจุดมุ่งหมายเพื่อวางแนวทางให้สังคมไทย และเพื่อกำจัดการเอารัดเอาเปรียบประชาชนที่มีมาเป็นเวลานาน

รายละเอียดเค้าโครงเศรษฐกิจ
1. ให้รัฐบาลเข้าทำการควบคุมเศรษฐกิจทั้งระบบและเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในทุกๆส่วน โดยมีหน่วยเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานก็คือสมาคมสหกรณ์ที่บริหารโดยรัฐบาล
2. ให้รัฐบาลประกันสวัสดิภาพสังคม (ประกันสังคม) ให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศ
3. ให้รัฐแจกจ่ายเงินให้ประชาชนเพื่อหาซื้อสิ่งของที่จำเป็นในการดำรงชีวิต
4. เงินที่นำมาให้ประชาชนได้มากจากการที่รัฐบาลควบคุมระบบเศรษฐกิจ 3 อย่าง คือ ที่ดิน แรงงาน เงินทุน
5. ให้รัฐซื้อที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ทั้งประเทศ โดยให้รัฐออกพันธบัตรรัฐบาลให้มีค่าเท่ากับราคาที่ดินที่ซื้อ
6. ให้รัฐบาลใช้ระบบสหกรณ์ในการทำนา เพื่อให้ชาวนาร่วมมือกันทำนา และให้รัฐบาลซื้อเครื่องจักรเพื่อให้ชาวนาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. รัฐบาลควบคุมแรงงานทั้งประเทศ โดยให้ทุกคนเป็นข้าราชการ ยกเว้นผู้มีอาชีพอิสระ เช่น หมอ ทนาย นักเขียน และครู
8. รัฐดำเนินการในเรื่องธนาคาร การคมนาคมขนส่ง รวมทั้งการอุตสาหกรรมเอง เพื่อตัดพ่อค้าคนกลางหรือนายทุนที่แสวงหากำไรออก


เค้าโครงเศรษฐกิจนี้เมื่อนำมาเสนอและเผยแพร่ ก็ได้ทำให้เกิดมีความคิดแตกแยกในหมู่ผู้นำคณะราษฎร โดยเฉพาะพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีได้คัดค้านเค้าโครงเศรษฐกิจนี้อย่างเต็มที่ โดยวิจารณ์ว่า เป็นแนวความคิดแบบโน้มเอียงไปทางระบอบคอมมิวนิสต์ ไม่สามารถที่จะยอมรับให้นำมาใช้กับเมือง กับฝ่ายที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ได้แก่ กลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน สำหรับรัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชวินิจฉัยไม่เห็นด้วย เพราะทรงเห็นว่าเค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวริดรอนเสรีภาพของประชาชน และจากเรื่องนี้ทำให้รัฐบาลตราพระราชบัญญัติที่ว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2475 เพื่อเอาความผิดกับผู้สนับสนุนแนวคิดลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าเป็นการพูด เขียน หรือวิธีการใดๆก็ตาม จนท่านปรีดีต้องเดินทางออกนอกประเทศไทย

ในความคิดของผู้เขียน ผู้เขียนก็เห็นด้วยกับพระราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ 7 ผู้เขียนเห็นว่าการที่รัฐบาลจะบังคับเอาที่ดินทั้งหมดของประชาชนแล้วจ่ายค่าตอบแทนเป็นพันธบัตรรัฐบาลแทนนั้น แลดูเหมือนการบังคับริดรอนต่อสิทธิของประชาชนจนเกินไป แต่ทั้งนี้ผู้เขียนก็มีความคิดว่าท่านปรีดีนั้น มีเจตนาที่ดีที่จะมุ่งหวังให้สภาพทางเศรษฐกิจของประเทศดำเนินไปในทางที่ดีกว่าเดิม เป็นการช่วยประชาชนที่มีฐานะยากไร้ ต้องการที่จะมุ่งหวังให้เกิดความเท่าเทียมกันของประชาชน เห็นได้จากนโยบายในรูปแบบทางเศรษฐกิจและการที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะได้เป็นข้าราชการซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติและมั่นคงในสังคมขณะนั้น และจากเค้าโครงเศรษฐกิจของท่านปรีดี เราก็ยังจะเห็นได้ว่าแนวคิดของท่านปรีดีนั้นจะไม่นิยมการแข่งขันแบบทุนนิยม ท่านมีเป้าหมายเช่นเดียวกับมาร์กซ์ กล่าวคือ ต้องการพัฒนาให้คนเป็นคนโดยสมบูรณ์ และให้ความสำคัญทางเศรษฐกิจมากกว่าการเมือง แต่แนวคิดของท่านปรีดีนั้นต่างจากแนวคิดของมาร์กซ์ในส่วนหนึ่ง นั้นก็คือ ท่านปรีดีจะให้ความสำคัญกับศาสนาด้วย

แนวคิดทางเศรษฐกิจของท่านปรีดีนั้นเป็นแนวคิดที่ดี มีความล้ำหน้าทางความคิด เป็นแนวคิดที่ต้องการให้เกิดเสถียรภาพในทางเศรษฐกิจ แต่ผู้เขียนก็คิดว่าเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยจนเกินไป เพราะในสังคมขณะนั้นเพิ่งเปลี่ยนแปลงทางการปกครองมาได้ไม่นาน แล้วแนวคิดเค้าโครงเศรษฐกิจของท่านปรีดีก็แลดูเป็นความคิดที่อยู่ในอีกขั่วของสังคม เหมือนเป็นการปรับเปลี่ยนที่เร็วและแรงจนเกินไป ถ้าค่อยๆปรับค่อยๆแก้ไปที่ล่ะช่วง อาจจะส่งผลดีกว่าที่จะแก้ไขทั้งระบบในคราวเดียวก็เป็นได้ ในส่วนของข้อพิสูจน์ที่ว่าแนวความคิดของท่านปรีดีก้าวหน้าเกินยุคสมัยที่มีการนำมาใช้ในปัจจุบันนี้ก็คือ การตั้งธนาคารแห่งชาติ การตั้งสหกรณ์การเกษตร การที่รัฐบาลควบคุมผูกขาดการทำป่าไม้ การสาธารณูปโภค การคมนาคมขนส่ง การประกันสังคม

บทบาทและความสำคัญของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ ท่านปรีดี พนมยงค์ นั้นมีมากหลาย ทั้งเป็นผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน เป็นนายกรัฐมนตรี 3 สมัย เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆอีกหลายสมัย เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นผู้ดูแลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ขณะทรงพระเยาว์ อีกทั้งยังเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 และยังได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯยกย่องในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส" ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่มีเกียรติ แต่ด้วยผลจากเหตุการณ์ทางการเมืองจากกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 บทบาททางการเมืองของท่านปรีดีและกลุ่มการเมืองในสายของท่านก็หมดบทบาทลง ส่งผลให้ท่านปรีดีต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ และสุดท้ายก็ถึงแก่อสัญกรรมที่ต่างประเทศในที่สุด

โดยส่วนตัวของผู้เขียน ผู้เขียนคิดว่าการที่ประเทศไทยของเรานั้นเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475 นั้นเร็วจนเกินไป เพราะผู้เขียนเห็นว่าประชาชนชาวไทยนั้นดูเหมือนจะยังไม่มีความพร้อมที่จะเป็นประชาธิปไตย ยังขาดซึ่งความรู้ความเข้าใจในสิทธิหน้าที่ และความรับผิดชอบของตนในการปกครอง หลังจากที่คณะราษฎรยึดอำนาจการปกครองแล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วนั้น ประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะคณะราษฎรนั้นหลงยึดติดกับอำนาจ และกอบโกยผลประโยชน์เข้าสู้ตนและพวกพ้อง จนเหมือนกับที่คนพูดกันไว้ว่า คณะราษฎรนั้นเมื่อมีโอกาสได้มีอำนาจก็เป็นเหมือนกับเสือหิว ที่หิวตะกละในอำนาจของตน ส่วนประชาชนเองนั้นก็ไม่มีความพร้อมที่จะเข้าไปใช้สิทธิใช้เสียงของตนในการบริหารประเทศ และคณะราษฎรเองก็ไม่ได้สนใจที่จะสร้างความพร้อมให้กับประชาชนในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยเลย การปกครองในช่วงแรกหลังจาเปลี่ยนไปสู่ประชาธิปไตยแล้วนั้นเป็นการปกครองที่อยู่ในวังวนของการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์กันเองของกลุ่มผู้มีอำนาจที่จะทะยอยกันเข้ามาทำการปฏิวัติรัฐประหารกันอยู่เนื่องๆ (เขียนไป เขียนมา ชักไม่แน่ใจว่าเป็นแค่ช่วงแรกๆหรือเป็นจนถึงทุกวันนี้ (-__-) ) ท่านปรีดีเองเป็นคนที่พยายามจะทำเพื่อผลประโยชน์และความเสมอภาคของประชาชน แต่ท่านก็ได้ตกอยู่ในเกมส์วังวนในกระแสการเมืองของไทย จนต้องลี้ภัยออกนอกประเทศในที่สุด ..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้เขียนกลับเห็นถึงความแตกต่างกับคนในช่วงเวลานี้ ที่หนีไปเพียงเพื่อหลีกหนีความผิดของตน..

หลังจากที่ประเทศไทยของเราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระยะเวลา 70 กว่าปี (เกือบๆ80ปี) เพียงแค่70กว่าปีนั้นประชาธิปไตยของไทยเราก็มีเหตุการณ์สูญเสียเลือดเนื้อของประชาชนที่ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ถึง 3 ครั้งใหญ่ๆด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์มหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ..6 ตุลาคม 2519 ..จนถึง พฤษภาทมิฬ 2535 ..เหตุการณ์ในแต่ละครั้งส่งผลให้เกิดผู้บาดเจ็บ สูญหาย และล้มตายจำนวนมาก (สองครั้งที่สามารถยุติลงได้ด้วยเพราะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ..อ่านเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ทีไร น้ำตาซึมแทบทุกครั้ง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์) เหตุการณ์นองเลือดเหล่านี้เกิดขึ้นในยุคสมัยของประชาธิปไตย ซึ่งในยุคสมบูรณาญาสิทธิราช ที่พระมหากษัตริย์จะมีอำนาจสิทธิขาดในการปกครองประเทศ และเป็นเจ้าชีวิตของประชาชน มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย ก็ยังไม่เคยปราบปรามฆ่าฟันประชาชนเหมือนในยุคประชาธิปไตยหลัง พ.ศ. 2475 นี้เลย



สุดท้าย..
แรกเริ่มนั้น เมื่อท่านอาจารย์ได้ถามในชั้นเรียนว่า รู้จักหลวงประดิษฐ์มนูธรรมหรือไม่ ผู้เขียนนั้นรู้สึกคุ้นชื่อ แต่ไม่มั่นใจนักว่าเป็นผู้ใด เพราะคุณหลวงคนเดียวที่ผู้เขียนรู้จักและชื่นชอบยิ่งนักคือ หลวงอัครเทพวรากร ..คุณหลวงของแม่มณี ตัวละครเอกในทวิภพนั้นเอง (คริคริ)

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความยุติธรรม ..

คนเรานั้นเป็นสัตว์สังคม ต้องการที่จะอยู่ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเพื่อที่จะได้รับประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งจากสังคม รัฐจึงเกิดขึ้นมาจากความจำเป็นของคน เพลโตนั้นได้บรรยายธรรมชาติของคนไว้ว่า คนเป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถที่จะมีสภาพเป็นคนที่สมบูรณ์ได้หากใช้ชีวิตโดดเดี่ยวภายนอกสังคม คนเราเกิดมาเพื่อที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการช่วยเหลือของคนนั้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้อยู่เฉพาะภายในรัฐเท่านั้น เพลโตยังเชื่อว่า ไม่มีใครที่จะสามารถสอนตัวเองให้รู้จักถึงสิ่งที่เรียกว่าเหตุผล และรู้จักถึงสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมได้ด้วยตนเอง แต่คนสามารถจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้จากเพื่อนร่วมสังคมคนอื่นๆที่แวดล้อมอยู่รอบกายเขา นั่นจึงเป็นเหตุที่เพลโตเชื่อว่า คนจะมีชีวิตที่ดีที่สมบูรณ์ได้จะต้องกระทำอยู่ภายในรัฐ


ในเรื่องของความยุติธรรมนั้น ความหมายและกฏเกณฑ์ของความยุติธรรมของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับทัศนคติของคนผู้นั้นว่ามองเรื่องของความยุติธรรมจากแง่มุมไหน


ทัศนะของเพลโตเกี่ยวกับคำว่า "ความยุติธรรม" ทั้งในส่วนของปัจเจกชนและของรัฐนั้นปรากฏอยู่ในหนังสือ อุตมรัฐ (The Repubic) ที่เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นเพื่อที่จะเสนอความหมายของคำว่าความยุติธรรม


เพลโตเห็นว่า ความยุติธรรมคือผลของการแบ่งแยกชนชั้นและการแบ่งหน้าที่ เป็นสิ่งที่พันธนาการสังคมให้คงไว้ ทำให้เกิดความกลมกลืนในการรวมกลุ่มกันอยู่ของมนุษย์ในสังคม โดยที่แต่ล่ะคนได้ปฏิบัติภารกิจสอดคล้องกับความสามารถตามธรรมชาติของเขา หรือจากที่เขาได้รับการอบรมมา ซึ่งความยุติธรรมนั้นจะเป็นทั้งคุณธรรมของสาธารณะและของบุคคล เพลโตแบ่งแยกความหมายของความยุติธรรมออกเป็น 2 นัย คือ

ความยุติธรรมของบุคคล เพลโตแบ่งชนชั้นในสังคมออกเป็น 3 ชนชั้น คือ


1. ผู้ปกครอง


2. เจ้าหน้าที่ ได้แก่ ทหารและข้าราชการ


3. ผู้ผลิต ได้แก่ ชาวนา พ่อค้า ช่างฝีมือ



เพลโตอธิบายว่า จิตใจของคนนั้นประกอบด้วยคุณธรรมประจำจิต 3 อย่าง คือ ตัณหา ความกล้าหาญ และเหตุผล โดยในดวงจิตแต่ล่ะดวงนั้น จะถูกครอบงำโดยคุณธรรมอย่างหนึ่งมากกว่าอีกสองอย่างเสมอ


- ถ้าจิตของผู้ใดถูกครอบงำด้วยเหตุผล เขาผู้นั้นเหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองวึ่งมีจำนวนน้อยที่สุด


- ถ้าจิตของผู้ใดถูกครอบงำด้วยความกล้าหาญ หน้าที่ของเขาก็ควรจะเป็นทหาร


- ถ้าจิตของผู้ใดถกครอบงำด้วยกิเลสตัณหา ก็ควรจะทำหน้าที่เป็นผู้ผลิต ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด


เพลโตเห็นว่า ความยุติธรรมจะปรากฎขึ้นหรือมีขึ้นในบุคคลก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นรู้จักความอดทนอดกลั้น ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ทำให้ยอมรับสภาพความสามารถของตน และแสดงบทบาทคุณธรรมประจำจิตของตนเท่านั้น


ความยุติธรรมของรัฐ
เพลโตเห็นว่า รัฐมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับจิต คุณธรรมแห่งรัฐ คือ ปัญญา ความกล้าหาญ และ ขันติ ความยุติธรรมของรัฐจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อองค์ประกอบของรัฐทั้ง 3 ได้แสดงออกมาอย่างเหมาะสมคือ องค์ประกอบส่วนน้อยที่สุดของรัฐที่เป็นผู้เฉลียวฉลาดควรเป็นผู้ปกครอง องค์ประกอบส่วนน้อยรองลงมาของรัฐที่มีความกล้าหาญควรเป็นทหาร และองค์ประกอบส่วนใหญ่ที่สุดของรัฐควรเป็นผู้ผลิต


ผู้เขียนนั้นชอบทัศนคติความเห็นเรื่องความยุติธรรมของเพลโต เพราะผู้เขียนเองก็เห็นว่าในสังคมของคนเรานั้น ยังมีบางสิ่งที่สำคัญกว่าเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล เพลโตนั้นเชื่อว่ารัฐที่ดีที่สุดคือรัฐที่มีความยุติธรรมเป็นหัวใจหลักของรัฐ แต่ความยุติธรรมตามความเห็นของเพลโตนั้นไม่ใช่ความยุติธรรมที่ขึ้นอยู่กับตัวบทของกฎหมาย แต่เป็นความยุติธรรมที่ดูจากการทำหน้าที่ของคนในรัฐว่าเหมาะสมกับความสามารถของเขาหรือไม่ รัฐจะมีความสงบได้ก็ต่อเมื่อรัฐได้จัดสรรหน้าที่ให้กับคนในรัฐตามความเหมาะสม ...ท่านพุทธทาสภิกขุ ปราชญ์ชาวไทยคนสำคัญเองก็มีมุมมองความคิดเกี่ยวกับการเมืองไว้ว่า อุดมคติสูงสุดของสังคมการเมืองไม่ใช่สิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคล หากแต่คือหน้าที่ ท่านเห็นว่าคนทุกคนมีหน้าที่ที่เหมาะสมกับตัวเอง ถ้าทุกคนปฏิบัติหน้าที่โดยไม่บกพร่องแล้ว มันก็จะเป็นสิ่งที่หนุนส่งซึ่งกันและกัน เปรียบได้กับอวัยวะต่างๆในร่างกายของเราที่ต่างก็ทำงานประสานกัน ท่านพุทธทาสกับเพลโตจึงมีความเห็นที่คล้ายคลึงกันในเรื่องที่เชื่อว่า สังคมจะสงบสุขไม่ได้หากสมาชิกของสังคมไม่รู้จักหน้าที่ของตนเอง ผู้เขียนเองก็เห็นว่าถ้าคนในสังคมรู้จักและเคารพในหน้าที่ของตน สังคมก็ย่อมที่จะมีแต่ความสงบ แต่ในทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ยึดติดกับเรื่องของวัตถุ อำนาจ ชื่อเสียง ตกเป็นทาสของเงินตรากันเกือบทั้งหมด จะมีใครเล่าที่มัวแต่ยึดติดกับหน้าที่ ยิ่งคนเรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเห็นแก่ตัวแฝงอยู่ในจิตใจอยู่แล้ว สิ่งใดที่จะนำพามาซึ่งผลประโยชน์ คนๆนั้นก็อาจจะหลงลืมถึงหน้าที่ และละเลยถึงคุณธรรมไปเลยก็ได้

ในทุกวันนี้ความยุติธรรมที่ขึ้นอยู่กับหน้าที่ที่เหมาะสม ยึดมั่นต่อหน้าที่ของตนนั้นดูจะเป็นไปได้ยาก ถ้าหาความหมายของความยุติธรรมในทุกวันนี้คงจะเป็นความหมายที่คลุมเคลือ เพราะคนส่วนใหญ่ยึดมั่นในผลประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ อาจจะพูดได้ว่าความยุติธรรมเป็นเรื่องของผลประโยชน์เลยก็ว่าได้ ถ้าใครได้รับผลประโยชน์คนๆนั้นก็จะบอกว่าเขาได้รับความยุติธรรม แต่ถ้าใครไม่ได้รับหรือได้รับผลประโยชน์น้อยกว่าก็จะบอกว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรม ความยุติธรรมจึงเป็นเรื่องของความพึงใจของแต่ล่ะคนเสียมากกว่า

ดูเหมือนสุดท้ายความยุติธรรมที่ดูจะมีบรรทัดฐานเท่าเทียมกันที่มนุษย์ทุกคนจะได้รับก็คือ ความตาย

ใครเล่าที่จะหนีความตายได้พ้น ความตายจึงเป็นสิ่งที่ยุติธรรมกับมนุษย์ทุกคนแล้ว