วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รัฐในอุดมคติ ..

รัฐในอุดมคติ (Idal State) ของเพลโต

1. เพลโตเชื่อว่ารัฐที่ดีที่สุดคือรัฐที่มีความยุติธรรมเป็นหัวใจหลักของรัฐ นั่นคือ คนในรัฐทุกคนทำหน้าที่ตามที่ของตน โดยไม่ก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน

2. เพลโตกำหนดให้ราชาปราชญ์ (Philosopher King) ผู้ที่ทรงปัญญา รู้ซึ้งถึงความจริงเป็นผู้ปกครองรัฐ เพราะเพลโตเห็นว่าการเมืองเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่จะรู้ซึ้ง และเข้าถึงศิลปะแห่งการเมืองได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรูอย่างดีเลิศ และในการปกครองนั้นจะต้องใช้ความรู้ในหลักการปกครองด้วย ซึ่งผู้ทรงปัญญาก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้โดยใช้เหตุผล

3. เพลโตมีความเชื่อมั่นในตัวของนักปรัชญามาก เพราะเขาเห็นว่านักปรัชญาคือผู้ที่กระหายที่จะได้มาซึ่งความรู้อย่างไม่มีวันจบสิ้น จึงทำให้เขาเห็นว่านักปรัชญาเท่านั้นที่จะมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะเป็นผู้ปกครองและนำความยุติธรรมมาสู่รัฐได้

4. รัฐในอุดมคติอาจจะปกครองในระบบราชาธิปไตย หรืออภิชนาธิไตยก็ได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้ปกครอง ถ้าปกครองโดยราชาปราชญ์เพียงองค์เดียวก็เป็นราชาธิปไตย แต่ถ้าปกครองโดยคณะราชาปราชญ์ก็จะกลายเป็นอภิชนาธิปไตย

5. รัฐในอุดมคติตามจุดประสงค์ที่แท้จริงของเพลโตนั้น เขาต้องการให้อำนาจในการปกครองขึ้นอยู่กับคณะหรือกลุ่มบุคคลจำนวนพอสมควร มากกว่าที่จะขึ้นอยู่กับคนเพียงคนเดียวหรือสองสามคน เพราะเพลโตเห็นว่า การปกครองโดยคนๆเดียวหรือสองสามคน อาจจะร่วมกันใช้อำนาจไปในทางที่ไม่สุจริต กดขี่ประชาชนและแสวงหาประโยชน์เข้าตัวเองได้

6. หลักเกี่ยวกับการศึกษาในรัฐในอุดมคติของเพลโตนั้น จะเป็นระบบการศึกษาที่มุ่งมั่นที่จะให้เป็นเครื่องมืออบรม และเลือกหาว่าคนในรัฐแต่ละคนเหมาะสมกับหน้าที่อะไร โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ กล่าวคือ

- การศึกษาขั้นต้น เป็นการให้การศึกษาแก่คนทุกคนในแบบบังคับไปจนถึงอายุ 18 ปี และต่อด้วยการฝึกอบรมทางทหารอีก 2 ปี โดยการศึกษาขั้นต้นนี้จะเน้นไปที่พลศึกษาและดนตรีเป็นสำคัญ การเรียนพลศึกษานั้นมุ่งเน่นที่จะปลูกฝังความกล้าหาญ ส่วนการเรียนดนตรีนั้นไม่ได้หมายถึงการดีด สี ตี เป่า แต่มุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้โคลงกลอนและวรรณคดีต่างๆ

- การศึกษาขั้นที่ 2 กำหนดไว้สำหรับผู้ที่ผ่านการศึกษาขั้นแรกมาแล้ว โดยจะใช้เวลาศึกษาต่ออีก 15 ปี แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ

- ช่วงแรก อายุ 20-30 ปี จะศึกษาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์เบื้องต้นไปจนถึงขั้นสูงสุด และเรียนดาราศาสตร์ด้วย ถ้าสอบไม่ผ่าน ต้องออกมาเป็นพวกทหารปกป้องรัฐ ซึ่งถือว่ามีจิตใจที่ครอบงำไปด้วยความกล้าหาญ

- ช่วงที่สอง ผู้ที่สอบผ่านในรอบแรกมาได้ก็จะใช้เวลาศึกษาต่ออีก 5 ปี เพื่อศึกษาวิชาปรัชญา โดยเน้นการแสวงหาคุณงามความดีและสัจธรรม เพื่อเตรียมตัวจะเป็นผู้ปกครองต่อไป

7. เพลโตได้วางกฎเกณฑ์ไว้ว่า ชนชั้นผู้ปกครองและชนชั้นนักรบจะต้องไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวและห้ามการมีครอบครัว เพราะเพลโตเห็นว่าถ้าชนชั้นสูงดังกล่าวได้ใช้ชีวิตเช่นเดียวกับคนทั่วไปแล้ว จะทำให้เกิดการแก่งแย่งอำนาจทางการเมืองในหมู่ชนชั้นสูงดังกล่าว

8. เพลโตกำหนดห้ามไม่ให้ชนชั้นปกครองและชนชั้นนักรบมีความสัมพันธ์ในฐานะครอบครัว (พ่อ แม่ ลูก) แต่การประเวณีจะมีได้เป็นครั้งคราว เพื่อที่จะได้มาซึ่งพันธุ์ที่ดีที่สุดเท่านั้น โดยเด็กที่เกิดมาภายใต้การควบคุมนี้จะอยู่ในความเลี้ยงดูของรัฐ

9. ในรัฐอุดมคติ เพลโตยอมที่จะให้มีการคุมกำเนิด การทำแท้ง และการทำลายทารก ตลอดจนการทอดทิ้งคนที่เจ็บป่วยเรื้อรังและไม่แข็งแรงได้ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการคมขนาดและคุณภาพของประชาชนนั่นเอง

10. เพลโตยอมรับความเสมอภาคระหว่างชายและหญิง เพลโตมีความเห็นว่าความแตกต่างระหว่างสองเพศนี้อยู่ตรงที่ว่า ชายเป็นเหตุแห่งการกำเนิด ในคณะที่หญิงเป็นผู้ให้กำเนิดเท่านั้น นอกจากนี้ธรรมชาติได้สร้างให้ทัดเทียมกันทุกอย่าง ถึงแม้ว่าหญิงอาจจะมีกำลังอ่อนแอกว่าก็ตาม ดังนั้นผู้หญิงจึงมีโอกาสเป็นผู้ปกครองหรือนักรบได้ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความสมารถเหมาะสมกับหน้าที่นั้นๆ

11. เพลโตจงใจที่จะไม่ให้มีกฎหมายในรัฐอุดมคติ เพลโตถือว่าเมื่อกำหนดไว้แล้วว่าผู้ปกครองคือราชาปราชญ์ ผู้มีความรอบรู้และเฉลียวฉลาดอย่างดีเลิศ ความจำเป็นในเรื่องกฎหมายก็จะหมดไป แต่ถ้ายังมีการกำหนดกฎหมายขึ้นมาอีกก็จเท่ากับเป็นการวางกรอบให้ราชาปราชญ์ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้รับจากความเฉลียวฉลาดของราชาปราชญ์ก็ย่อมหมดไปด้วย

12. การที่กำหนดราชาปราชญ์เป็นผู้ปกครองก็เพื่อว่าเขาจะได้ใช้ความรู้นำไปสู่สันติสุข ราชาปราชณ์เท่านั้นที่จะรู้ว่า ควรจะปกครองหรือนำรัฐไปในทางใดในสภาพแวดล้อมซึ่งสับสนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

...


จากสรุปแนวคิดเกี่ยวกับรัฐในอุดมคติของเพลโตนั้น เราจะเห็นได้ว่าเพลโตได้วางกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างเข้มงวดไว้มากอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการครอบครองทรัพย์สินของชนชั้นปกครองและชนชั้นนักรบ เรื่องของความสัมพันธ์ในฐานะครอบครัว ตลอดจนเรื่องที่ใครหลายๆคนอาจจะมองดูว่าโหดร้าย อย่างเรื่องการทำลายทารก การทอดทิ้งคนที่เจ็บป่วยเรื้อรังและไม่แข็งแรง สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริงในยุคปัจจุบัน ที่เน้นในเรื่องการเชิดชูสิทธิและเสรีภาพอย่างออกนอกหน้า

แต่รัฐในอุดมคติของเพลโตนั้น ก็มีความคิดที่ก้าวหน้าอยู่ เพลโตได้วางหลักเกี่ยวกับการศึกษาไว้ในรัฐในอุดมคติของเขา การศึกษาในความคิดของเพลโตเป็นการศึกษาเพื่อมุ่งเน้นที่จะคัดกรองประชาชนในรัฐว่าควร ว่าเหมาะกับหน้าที่อะไร การศึกษาจะช่วยทำให้คนในรัฐได้พบกับหน้าที่ที่ตนควรที่จะทำ อีกทั้งแนวคิดเกี่ยวกับสตรีของเพลโตก็มีความก้าวหน้ามาก ถ้าดูจากในยุคสมัยของเขา(และหลายๆสมัยต่อๆมา)ที่สตรีเป็นได้แค่เพียงพลเมืองชั้นสองรองจากบุรุษ เพศหญิงในรัฐอุดมคติของเพลโตมีความเท่าเทียมและเสมอภาคกับเพศชาย ผู้หญิงสามารถจะทำหน้าที่ได้เช่นเดียวกับชาย ถ้าหญิงนั้นสามารถที่จะพิสูจนืในความสามารถที่เธอมีให้เป็นที่ประจักษ์ได้

รัฐในอุดมคติของเพลโต ถ้ามองในแง่มุมของปัจจุบันอาจจะเป็นสิ่งที่ดูเข้มงวด และวางกรอบกฏเกณฑ์ต่างๆไว้อย่างมากมาย มากจนดูเหมือนกับการบังคับและกีดกันสิทธิของคนในรัฐจนเกินไป เป็นเหมือนกับการใช้ชีวิตในแบบรัฐทหาร แต่ถ้ารัฐในอุดมคตินี้เกิดขึ้นมาได้ ก็จะเป็นรัฐที่มีระเบียบและคงไว้ซึ่งระบบ แต่ก็คงจะเป็นการยากที่จะหาราชาปราชญ์ที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและความรู้มาเป็นผู้ปกครองได้ เพราะผู้เขียนคิดว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชิวิตที่มีความเห็นแก่ตัวแฝงอยู่ มาก-น้อย อาจจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์ผู้นั้นจะใช้เหตุผลแห่งคุณธรรมได้มากแค่ไหน การที่จะหาราชาปราชญ์ที่คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของรัฐเพียงอย่างเดียว คงจะเป็นการยาก ยากจนเหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยก็เป็นได้

...


ส่วนรัฐในอุดมคติของผู้เขียนนั้น ผู้เขียนเห็นว่าคนในรัฐควรที่จะดำเนินชีวิตไปตามหลักแห่งธรรม ในทางพุทธศาสนาเองก็มองว่า ธรรม เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจำแนกคนว่ามีความต่างกันหรือไม่ ความเสมอภาคในทางพุทธศาสนา ก็ยังหมายถึงความเสมอภาคในการประพฤติธรรม ไม่ใช่ความเสมอภาคในความสามารถ สติปัญญา หรือหน้าที่ คนที่แตกต่างกันนั้นไม่ใช่ขึ้นอยู่กับสีผิว ชาติตระกูล ชั้นวรรณะ หรือ เชื้อชาติ แต่ขึ้นอยู่กับธรรมของคนแต่ละคนมากกว่า ว่ามีมากน้อยเพียงใด ผู้เขียนเห็นว่า ธรรม เป็นเครื่องนำพาชีวิต ถ้าคนในรัฐยึดมั่นในคุณธรรม รัฐก็จะมีหนทางนำไปสู่สิ่งที่ดีได้ อีกทั้งหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ก็สามารถนำมาใช้กับผู้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันได้ด้วย พระมหากษัตริย์ของไทยก็ทรงปฏิบัติตามหลักธรรมสำหรับผู้ปกครองอยู่แล้ว เพราะทรงปฏิบัติตามคำสอนในพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด แต่สำหรับผู้มีอำนาจที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทน ตลอดจนข้าราชาการระดับสูงต่างๆ ก็ควรที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ในเรื่องผู้ปกครองที่ดีที่ปกครองโดยธรรมด้วย ถ้าผู้นำทางการเมืองทุกระดับเป็นผู้ทรงธรรม มีหลักธรรม อยู่ประจำใจ และประพฤติปฏิบัติตัวตามหลักธรรมอยู่เสมอ มีอำนาจอยู่คู่คุณธรรม ไม่ใช่มีอำนาจอยู่คู่เงินตรา แล้วการเมืองก็จะเป็นเรื่องคุณธรรมไม่ใช่การเมืองที่มีแต่เรื่องสกปรก เต็มไปด้วยเรื่องทุจริต ประพฤติมิชอบ ซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันมากมายอย่างทุกวันนี้

ผู้เขียนยังชอบทัศนะความคิดของจอห์นแห่งซัลส์เบอรี่ (John of Salsbury) ที่เปรียบเทียบว่ารัฐนั้นเปรียบเสมือนร่างกายของมนุษย์ กล่าวคือ

- กษัตริย์เป็นเสมือนศีรษะหรือส่วนสมอง
- ฝ่ายศาสนาเป็นดวงวิญญาณ
- ทหารเป็นมือ
- ข้าราชการฝ่ายคลังเป็นเสมือนกระเพราะอาหาร
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นจิตใจ
- ผู้พิพากษาและข้าราชการอื่นๆ เป็นอวัยวะรับสัมผัสอันได้แก่ ดวงตา หู และลิ้น
- บรรดาชายฉกรรจ์ในรัฐเป็นเสมือนส่วนเท้า

เขามีความเห็นว่าองค์ประกอบทุกส่วนนี้จะร่วมกันเพื่อที่จะสร้างองค์อินทรีย์ที่ดีขึ้นมา รัฐก็เหมือนกับร่างกาย จะเจริญรุ่งเรืองก็ต่อเมื่อทุกๆส่วนมีความสมบูรณ์ดี ผู้เขียนเห็นสอดคล้องกับทัศนะนี้ เพราะผู้เขียนเห็นว่าถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของรัฐทำในเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร ก็เหมือนกับว่ารัฐนั้นเจ็บป่วย ถ้าเอาแนวคิดนี้มามองดูประเทศไทยในทุกวันนี้ เราก็อาจจะเห็นได้ว่าในร่างกายที่เราอาศัยอยู่นั้น ล้วนแล้วแต่มีเซลล์มะเร็งแฝงอยู่เป็นจำนวนมากเป็นแน่ มันจึงอยู่กับคนไทยด้วยกันเองว่าต้องการที่จะนำพาประเทศไปในทิศทางใด...

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พัฒนาการทางการเมืองของไทย

จากประวัติศาสตร์ของไทย กลุ่มบุคคลที่ประกอบด้วยทหารและพลเรือนที่รวมตัวกันในนามของ "คณะราษฎร" ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองและเปลี่ยนระบบการปกครองของไทย จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นสิ่งที่พวกเราเรียกกันว่า "ประชาธิปไตย" ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวถือได้ว่าเป็นผู้ที่บุกเบิกนำประชาธิปไตยมาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และนับแต่นั้นมาสภาพการเมืองของไทยก็เป็นการเมืองที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทหารและระบบราชการมาโดยตลอด
ผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองนั้นมักพยายามจะอ้างเสมอว่าทำการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประชาชนกลับมีส่วนร่วมทางการเมืองและได้รับผลประโยชน์จากการปกครองของผู้นำทางการเมืองน้อยมาก ประชาชนโดยทั่วไปมักจะขาดสิทธิและความสำนึกถึงสิทธิของตนในการที่จะใช้การเมืองตามระบอบประชาธิปไตยเพื่อผลประโยชน์ของตนอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกันกลไกทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่น รัฐสภา และพรรคการเมือง ก็ไม่ได้แสดงบทบาทให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่อย่างจริงจังว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมอย่างแท้จริง โดยนักการเมืองมักจะถูกพิจารณาว่าทำหน้าที่เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวกเท่านั้น

ความอ่อนแอของสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทำให้สถาบันในระบบราชการ โดยเฉพาะทหารเข้ามามีอำนาจทางการเมืองของประเทศอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการแสดงอิทธิพลและอำนาจของทหารในการเมืองไทยนั้น จะปรากฏออกมาในหลายรูปลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยหลังการทำรัฐประหารสำเร็จ ผู้นำทหารอาจเข้าทำการปกครองประเทศและใช้อำนาจทางการเมืองโดยตรง โดยอาจตั้ง "สภาปฏิวัติ" หรือ "สภาปฏิรูป" ขึ้นมาทำการปกครองชั่วคราว และแปรสภาพเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายในระยะเวลาต่อมา โดยบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมีอำนาจตัดสินใจในนโยบายของประเทศมักจะประกอบด้วยนายทหารประจำการชั้นสูง ขณะเดียวกันสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอาจได้รับการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับการปกครองของตน โดยสถาบันต่างๆเหล่านี้แทบจะไม่มีบทบทาเลยในทางปฏิบัติ

อีกรูปแบบหนึ่งของการแสดงอำนาจในการเมืองไทยของฝ่ายทหาร จะปรากฏออกมาในรูปของการจัดตั้งรัฐบาลหลังการรัฐประหาร โดยแต่งตั้งพลเรือนให้เป็นหัวหน้ารัฐบาลอย่างเป็นทางการ แต่ฝ่ายทหารก็จะตั้ง "สภาที่ปรึกษา" ขึ้นมาคอยให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลพลเรือนที่ฝ่ายทหารจัดตั้งขึ้น ซึ่งมักจะปรากฏว่าคำปรึกษาของฝ่ายทหารนั้นจะเป็นตัวกำหนดนโยบายที่ฝ่ายรัฐบาลพลเรือนต้องปฏิบัติตาม และเช่นเดียวกันสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะสถาบันนิติบัญญัติก็จะถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อความชอบธรรมของการใช้อำนาจปกครองประเทศ

สภาพการเมืองของไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทหารเป็นส่วนใหญ่ เพราะสถาบันทหารอยู่คู่กับประเทศ มีความใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์มาแต่อดีต และยังมีความเป็นปึกแผ่น มีระเบียบวันัย แล้วยังมีกำลังและอาวุธที่สามารถใช้เพื่อการมีอำนาจทางการเมืองได้โดยตรง อีกทั้งความล้มเหลวของสถาบันต่างๆในระบอบประชาธิปไตยมักจะปรากฎให้เห็นบ่อยครั้ง จึงส่งผลให้ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองของประเทศอยู่ตลอดเวลา

การต่อต้านอำนาจของฝ่ายทหารในการเมืองของไทย ที่นำไปสู่การเรียกร้องการปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดขึ้นหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น "วิกฤติการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516" จนถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 (พฤษภาทมิฬ) เหตุการณ์ทั้งสองช่วงเวลานั้นทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้เรียกร้องประชาธิปไตยจำนวนมาก แต่เหตุแรงร้ายเหล่านี้ก็ยุติลงได้ด้วยพระบารมีและบทบาทของพระเจ้าอยู่หัว ผู้ที่เป็นที่พึ่งและศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ

แต่..การที่ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองหลายครั้งนั้น ใช่ว่าจะเป็นเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตน แต่เป็นเพราะการคำนึงถึงประเทศชาติเสียมากกว่า จากสภาพการณ์ดังเช่นนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าเป็นสภาพการณ์ที่ผิดไปจากหลักทางความคิดของประชาธิปไตยตะวันตก แต่ที่เป็นเช่นนั้น เราก็ไม่อาจสรุปได้ว่าสิ่งที่เป็นมาใช่ว่ามันจะไม่เป็นผลดี

ประชาธิปไตยแบบตะวันตกนั้นจะยอมรับการมีส่วนร่วมในการปกครองของประชาชน ความเสมอภาคเท่าเทียมกันของประชาชนในสังคม และการเคารพในหลักการปกครองโดยกฎหมาย

แต่วัฒนธรรมทางสังคมและการเมืองการปกครองของสังคมในไทยนั้น จะยอมรับและให้ความสำคัญกับหลักการที่ไม่ค่อยสอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยมากนัก

ในวัฒนธรรมทางสังคมของไทยนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า ประชาชนจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนชั้นกว้างๆ คือ ชนชั้นปกครองและชนชั้นใต้ปกครอง ซึ่งจะไม่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างชนชั้นทั้งสอง ดังนั้นการมีส่วนร่วมของคนในสังคมตามความคิดที่ว่า อำนาจการปกครองเป็นของประชาชน เป็นการปกครองโดยประชาชนและเพื่อประชาชนนั้น จึงไม่มีอยู่ในความนึกคิดของคนในสังคม การมีส่วนร่วมของชนชั้นใต้ปกครองในสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะออกมาในรูปแบบของการยอมรับความเป็นผู้นำและอำนาจการปกครองของชนชั้นปกครองมากกว่า

ในสังคมของประเทศเรา ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เรียกว่า ความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ ซึ่งถือเป็นกลไกทางสังคมที่สำคัญ ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูงกว่ากับชนชั้นที่ต่ำกว่า เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ทำด้วยความสมัครใจโดยไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมาย และทั้งสองฝ่ายต่างก็พอใจ เพราะได้รับผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แม้ผลประโยชน์ที่ได้รับนั้นจะไม่เท่าเทียมกันก็ตาม แต่ความสัมพันธ์แบบนี้ก็ทำให้สังคมดำเนินไปได้อย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์นั้นถือได้ว่าค่อนข้างแตกต่างจากความสัมพันธ์ในสังคมประชาธิไตยแบบตะวันตก เพราะในสังคมประชาธิปไตยแบบตะวันตกจะให้ความสำคัญอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีข้อกำหนด ตลอดจนเงื่อนไขที่ตายตัว ผูกยึดไว้กับเงื่อนไขที่มีผลทางกฎหมายได้




ปัญหาของประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่เกิดขึ้นในไทย

- ความคิด ตลอดจนรูปแบบการปฏิบัติของประชาธิปไตยแบบตะวันตกนั้น เป็นเรื่องแปลกใหม่

- พรรคการเมืองเป็นการรวมกลุ่มของชนชั้นสูงเพื่อสนับสนุนบุคคลเพียงบางคนให้มีอำนาจทางการเมือง

- ประชาชนไม่เห็นความสำคัญของการเลือกตั้ง

- การโกงกินกันในระบบของการเมือง เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง



การนำประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาใช้นั้นอาจจะยังมีปัญหาอยู่มาก และยังผิดเพี้ยนไปจากแบบเดิมมากอยู่ แต่ที่เป็นเช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะเกิดจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมทางการเมืองและสังคมก็เป็นได้
. _______________________________ .
ตัวของผู้เขียนนั้นมีความรู้สึกศรัทธาและเคารพในแนวความคิดของพุทธปรัชญามาเสมอ จึงขอยกนำแนวความคิดทางการเมืองในพุทธศาสนามากล่าวถึงในที่นี้
ผู้เขียนเห็นว่าประเทศไทยของเรา เป็นประเทศที่มีความโชคดี โชดดีในที่นี้คือการที่เราประชาชนชาวไทยนั้นได้มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงไว้ด้วยคุณธรรมเป็นที่ยิ่ง พระมหากษัตริย์ของเรานั้นทรงเป็นธรรมราชาอย่างแท้จริงตามแนวความคิดของพุทธศาสนา พระองค์ทรงดำรงไว้ด้วยทศพิธราชธรรม จักกวัตติสูตร ตลอดจนราชสังคหวัตถุ4 ซึ่งเป็นธรรมที่คู่ควรกับพระราชา พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงพระเมตตาที่ทรงห่วงใยประชาชนของพระองค์เสมอ เหตุการณ์ทางการเมืองที่ก่อให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ (14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และ พฤษภาคม พ.ศ.2535) ถ้าไม่ไช่เพราะพระบารมีและบทบาทของพระองค์ เหตุการณ์วิปโยคร้ายแรงเหล่านั้นคงจะบานปลาย ลุกลามใหญ่โตเป็นแน่แท้ ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนเชื่อว่า ประชาชนชาวไทยทุกผู้คน คงรู้สึกไม่แตกต่างไปจากผู้เขียน คือ รักและเทิดทูนพระองค์อย่างถึงที่สุด
ทศพิธราชธรรม - คุณธรรมของพระราชา
1. ทาน 2. ศีล
3. การบริจาค 4. ความซื่อตรง
5. ความอ่อนโยน 6. ความเพียร
7. ความไม่โกรธ 8. ความไม่เบียดเบียน
9. ความอดทน 10. ความไม่พิโรธ
ราชสังคหวัตถุ4 - หลักการสงเคราะห์ประชาชนของนักปกครอง
1. สัสสเมธะ ฉลาดบำรุงธัญญาหาร
2. ปุริสเมธะ ฉลาดในการบำรุงข้าราชการ
3. สัมมาปาสะ ประสานรวมใจประชาชน
4. วาชไปยะ มีวาทะตรึงใจ
. _______________________________ .
ส่งท้าย..
แรกเริ่มนั้น ตั้งใจที่จะเขียนเป็นบทความที่เกี่ยวเนื่องกับปรัชญาทางการเมือง แต่..ไปๆมาๆ ทำไมมันถึงได้กลายเป็นบทความที่เกี่ยงโยงถึงประชาธิปไตยในรูปแบบของรัฐศาสตร์ไปได้ก็ไม่รู้ (เง้อๆๆๆๆๆๆๆๆ)
ผู้เขียนเองนั้นไม่ได้มีอคติกับทหารและระบบราชการแต่ประการใด อีกทั้งบุพการีของผู้เขียนก็ประกอบวิชาชีพทางราชการด้วยเช่นกัน (^-^) แต่ที่กล่าวถึงทหารกับการเมืองในไทยนั้น เป็นเพราะผู้เขียนต้องการแสดงความคิดเห็นที่ว่า สังคมในไทยนั้น เป็นสังคมที่ดูเหมือนจะยังไม่พร้อมที่จะปรับเข้าสู่รูปแบบของการเป็นสังคมประชาธิปไตยแบบตะวันตก สังคมไทยคุ้นชินกับระบบอุปถัมภ์ที่พันผูกจนแนบแน่นในความสัมพันธ์ของสังคม ผู้เขียนเองคิดว่า รูปแบบการปกครองของไทยควรที่จะพัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและการใช้ชีวิตของคนไทยเสียมากกว่าการที่เราต้องคอยตามรูปแบบของตะวันตกไปเสียทุกเรื่อง
ผู้เขียนก็รู้สึกงงๆที่จะนำแนวคิดทางปรัชญาไปสอดแทรกในเนื้อความตอนไหนดี จึงขอสรุปจบแบบห้วนๆในรูปของประชาธิปไตยในแบบรัฐศาสตร์เสีย (>__<) ต้องกราบขออภัย ที่อาจจะผิดวัตถุประสงค์ของการเริ่มเขียนบล็อกในครั้งนี้ด้วย (เอิ๊กๆๆๆ.)
สุดท้ายและท้ายสุด
ผู้เขียนขอขอบพระคุณ แหล่งความรู้ที่ได้อบรมวิชาการ ทั้งจากมหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ไว้ที่นี้ด้วย

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คริคริ

อ่าๆๆๆ ทดสอบๆๆๆๆ
(^________^)
...