1. เพลโตเชื่อว่ารัฐที่ดีที่สุดคือรัฐที่มีความยุติธรรมเป็นหัวใจหลักของรัฐ นั่นคือ คนในรัฐทุกคนทำหน้าที่ตามที่ของตน โดยไม่ก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน
2. เพลโตกำหนดให้ราชาปราชญ์ (Philosopher King) ผู้ที่ทรงปัญญา รู้ซึ้งถึงความจริงเป็นผู้ปกครองรัฐ เพราะเพลโตเห็นว่าการเมืองเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่จะรู้ซึ้ง และเข้าถึงศิลปะแห่งการเมืองได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรูอย่างดีเลิศ และในการปกครองนั้นจะต้องใช้ความรู้ในหลักการปกครองด้วย ซึ่งผู้ทรงปัญญาก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้โดยใช้เหตุผล
3. เพลโตมีความเชื่อมั่นในตัวของนักปรัชญามาก เพราะเขาเห็นว่านักปรัชญาคือผู้ที่กระหายที่จะได้มาซึ่งความรู้อย่างไม่มีวันจบสิ้น จึงทำให้เขาเห็นว่านักปรัชญาเท่านั้นที่จะมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะเป็นผู้ปกครองและนำความยุติธรรมมาสู่รัฐได้
4. รัฐในอุดมคติอาจจะปกครองในระบบราชาธิปไตย หรืออภิชนาธิไตยก็ได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้ปกครอง ถ้าปกครองโดยราชาปราชญ์เพียงองค์เดียวก็เป็นราชาธิปไตย แต่ถ้าปกครองโดยคณะราชาปราชญ์ก็จะกลายเป็นอภิชนาธิปไตย
5. รัฐในอุดมคติตามจุดประสงค์ที่แท้จริงของเพลโตนั้น เขาต้องการให้อำนาจในการปกครองขึ้นอยู่กับคณะหรือกลุ่มบุคคลจำนวนพอสมควร มากกว่าที่จะขึ้นอยู่กับคนเพียงคนเดียวหรือสองสามคน เพราะเพลโตเห็นว่า การปกครองโดยคนๆเดียวหรือสองสามคน อาจจะร่วมกันใช้อำนาจไปในทางที่ไม่สุจริต กดขี่ประชาชนและแสวงหาประโยชน์เข้าตัวเองได้
6. หลักเกี่ยวกับการศึกษาในรัฐในอุดมคติของเพลโตนั้น จะเป็นระบบการศึกษาที่มุ่งมั่นที่จะให้เป็นเครื่องมืออบรม และเลือกหาว่าคนในรัฐแต่ละคนเหมาะสมกับหน้าที่อะไร โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ กล่าวคือ
- การศึกษาขั้นต้น เป็นการให้การศึกษาแก่คนทุกคนในแบบบังคับไปจนถึงอายุ 18 ปี และต่อด้วยการฝึกอบรมทางทหารอีก 2 ปี โดยการศึกษาขั้นต้นนี้จะเน้นไปที่พลศึกษาและดนตรีเป็นสำคัญ การเรียนพลศึกษานั้นมุ่งเน่นที่จะปลูกฝังความกล้าหาญ ส่วนการเรียนดนตรีนั้นไม่ได้หมายถึงการดีด สี ตี เป่า แต่มุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้โคลงกลอนและวรรณคดีต่างๆ
- การศึกษาขั้นที่ 2 กำหนดไว้สำหรับผู้ที่ผ่านการศึกษาขั้นแรกมาแล้ว โดยจะใช้เวลาศึกษาต่ออีก 15 ปี แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ
- ช่วงแรก อายุ 20-30 ปี จะศึกษาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์เบื้องต้นไปจนถึงขั้นสูงสุด และเรียนดาราศาสตร์ด้วย ถ้าสอบไม่ผ่าน ต้องออกมาเป็นพวกทหารปกป้องรัฐ ซึ่งถือว่ามีจิตใจที่ครอบงำไปด้วยความกล้าหาญ
- ช่วงที่สอง ผู้ที่สอบผ่านในรอบแรกมาได้ก็จะใช้เวลาศึกษาต่ออีก 5 ปี เพื่อศึกษาวิชาปรัชญา โดยเน้นการแสวงหาคุณงามความดีและสัจธรรม เพื่อเตรียมตัวจะเป็นผู้ปกครองต่อไป
7. เพลโตได้วางกฎเกณฑ์ไว้ว่า ชนชั้นผู้ปกครองและชนชั้นนักรบจะต้องไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวและห้ามการมีครอบครัว เพราะเพลโตเห็นว่าถ้าชนชั้นสูงดังกล่าวได้ใช้ชีวิตเช่นเดียวกับคนทั่วไปแล้ว จะทำให้เกิดการแก่งแย่งอำนาจทางการเมืองในหมู่ชนชั้นสูงดังกล่าว
8. เพลโตกำหนดห้ามไม่ให้ชนชั้นปกครองและชนชั้นนักรบมีความสัมพันธ์ในฐานะครอบครัว (พ่อ แม่ ลูก) แต่การประเวณีจะมีได้เป็นครั้งคราว เพื่อที่จะได้มาซึ่งพันธุ์ที่ดีที่สุดเท่านั้น โดยเด็กที่เกิดมาภายใต้การควบคุมนี้จะอยู่ในความเลี้ยงดูของรัฐ
9. ในรัฐอุดมคติ เพลโตยอมที่จะให้มีการคุมกำเนิด การทำแท้ง และการทำลายทารก ตลอดจนการทอดทิ้งคนที่เจ็บป่วยเรื้อรังและไม่แข็งแรงได้ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการคมขนาดและคุณภาพของประชาชนนั่นเอง
10. เพลโตยอมรับความเสมอภาคระหว่างชายและหญิง เพลโตมีความเห็นว่าความแตกต่างระหว่างสองเพศนี้อยู่ตรงที่ว่า ชายเป็นเหตุแห่งการกำเนิด ในคณะที่หญิงเป็นผู้ให้กำเนิดเท่านั้น นอกจากนี้ธรรมชาติได้สร้างให้ทัดเทียมกันทุกอย่าง ถึงแม้ว่าหญิงอาจจะมีกำลังอ่อนแอกว่าก็ตาม ดังนั้นผู้หญิงจึงมีโอกาสเป็นผู้ปกครองหรือนักรบได้ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความสมารถเหมาะสมกับหน้าที่นั้นๆ
11. เพลโตจงใจที่จะไม่ให้มีกฎหมายในรัฐอุดมคติ เพลโตถือว่าเมื่อกำหนดไว้แล้วว่าผู้ปกครองคือราชาปราชญ์ ผู้มีความรอบรู้และเฉลียวฉลาดอย่างดีเลิศ ความจำเป็นในเรื่องกฎหมายก็จะหมดไป แต่ถ้ายังมีการกำหนดกฎหมายขึ้นมาอีกก็จเท่ากับเป็นการวางกรอบให้ราชาปราชญ์ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้รับจากความเฉลียวฉลาดของราชาปราชญ์ก็ย่อมหมดไปด้วย
12. การที่กำหนดราชาปราชญ์เป็นผู้ปกครองก็เพื่อว่าเขาจะได้ใช้ความรู้นำไปสู่สันติสุข ราชาปราชณ์เท่านั้นที่จะรู้ว่า ควรจะปกครองหรือนำรัฐไปในทางใดในสภาพแวดล้อมซึ่งสับสนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
...
จากสรุปแนวคิดเกี่ยวกับรัฐในอุดมคติของเพลโตนั้น เราจะเห็นได้ว่าเพลโตได้วางกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างเข้มงวดไว้มากอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการครอบครองทรัพย์สินของชนชั้นปกครองและชนชั้นนักรบ เรื่องของความสัมพันธ์ในฐานะครอบครัว ตลอดจนเรื่องที่ใครหลายๆคนอาจจะมองดูว่าโหดร้าย อย่างเรื่องการทำลายทารก การทอดทิ้งคนที่เจ็บป่วยเรื้อรังและไม่แข็งแรง สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริงในยุคปัจจุบัน ที่เน้นในเรื่องการเชิดชูสิทธิและเสรีภาพอย่างออกนอกหน้า
แต่รัฐในอุดมคติของเพลโตนั้น ก็มีความคิดที่ก้าวหน้าอยู่ เพลโตได้วางหลักเกี่ยวกับการศึกษาไว้ในรัฐในอุดมคติของเขา การศึกษาในความคิดของเพลโตเป็นการศึกษาเพื่อมุ่งเน้นที่จะคัดกรองประชาชนในรัฐว่าควร ว่าเหมาะกับหน้าที่อะไร การศึกษาจะช่วยทำให้คนในรัฐได้พบกับหน้าที่ที่ตนควรที่จะทำ อีกทั้งแนวคิดเกี่ยวกับสตรีของเพลโตก็มีความก้าวหน้ามาก ถ้าดูจากในยุคสมัยของเขา(และหลายๆสมัยต่อๆมา)ที่สตรีเป็นได้แค่เพียงพลเมืองชั้นสองรองจากบุรุษ เพศหญิงในรัฐอุดมคติของเพลโตมีความเท่าเทียมและเสมอภาคกับเพศชาย ผู้หญิงสามารถจะทำหน้าที่ได้เช่นเดียวกับชาย ถ้าหญิงนั้นสามารถที่จะพิสูจนืในความสามารถที่เธอมีให้เป็นที่ประจักษ์ได้
รัฐในอุดมคติของเพลโต ถ้ามองในแง่มุมของปัจจุบันอาจจะเป็นสิ่งที่ดูเข้มงวด และวางกรอบกฏเกณฑ์ต่างๆไว้อย่างมากมาย มากจนดูเหมือนกับการบังคับและกีดกันสิทธิของคนในรัฐจนเกินไป เป็นเหมือนกับการใช้ชีวิตในแบบรัฐทหาร แต่ถ้ารัฐในอุดมคตินี้เกิดขึ้นมาได้ ก็จะเป็นรัฐที่มีระเบียบและคงไว้ซึ่งระบบ แต่ก็คงจะเป็นการยากที่จะหาราชาปราชญ์ที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและความรู้มาเป็นผู้ปกครองได้ เพราะผู้เขียนคิดว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชิวิตที่มีความเห็นแก่ตัวแฝงอยู่ มาก-น้อย อาจจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์ผู้นั้นจะใช้เหตุผลแห่งคุณธรรมได้มากแค่ไหน การที่จะหาราชาปราชญ์ที่คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของรัฐเพียงอย่างเดียว คงจะเป็นการยาก ยากจนเหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยก็เป็นได้
...
ส่วนรัฐในอุดมคติของผู้เขียนนั้น ผู้เขียนเห็นว่าคนในรัฐควรที่จะดำเนินชีวิตไปตามหลักแห่งธรรม ในทางพุทธศาสนาเองก็มองว่า ธรรม เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจำแนกคนว่ามีความต่างกันหรือไม่ ความเสมอภาคในทางพุทธศาสนา ก็ยังหมายถึงความเสมอภาคในการประพฤติธรรม ไม่ใช่ความเสมอภาคในความสามารถ สติปัญญา หรือหน้าที่ คนที่แตกต่างกันนั้นไม่ใช่ขึ้นอยู่กับสีผิว ชาติตระกูล ชั้นวรรณะ หรือ เชื้อชาติ แต่ขึ้นอยู่กับธรรมของคนแต่ละคนมากกว่า ว่ามีมากน้อยเพียงใด ผู้เขียนเห็นว่า ธรรม เป็นเครื่องนำพาชีวิต ถ้าคนในรัฐยึดมั่นในคุณธรรม รัฐก็จะมีหนทางนำไปสู่สิ่งที่ดีได้ อีกทั้งหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ก็สามารถนำมาใช้กับผู้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันได้ด้วย พระมหากษัตริย์ของไทยก็ทรงปฏิบัติตามหลักธรรมสำหรับผู้ปกครองอยู่แล้ว เพราะทรงปฏิบัติตามคำสอนในพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด แต่สำหรับผู้มีอำนาจที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทน ตลอดจนข้าราชาการระดับสูงต่างๆ ก็ควรที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ในเรื่องผู้ปกครองที่ดีที่ปกครองโดยธรรมด้วย ถ้าผู้นำทางการเมืองทุกระดับเป็นผู้ทรงธรรม มีหลักธรรม อยู่ประจำใจ และประพฤติปฏิบัติตัวตามหลักธรรมอยู่เสมอ มีอำนาจอยู่คู่คุณธรรม ไม่ใช่มีอำนาจอยู่คู่เงินตรา แล้วการเมืองก็จะเป็นเรื่องคุณธรรมไม่ใช่การเมืองที่มีแต่เรื่องสกปรก เต็มไปด้วยเรื่องทุจริต ประพฤติมิชอบ ซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันมากมายอย่างทุกวันนี้
ผู้เขียนยังชอบทัศนะความคิดของจอห์นแห่งซัลส์เบอรี่ (John of Salsbury) ที่เปรียบเทียบว่ารัฐนั้นเปรียบเสมือนร่างกายของมนุษย์ กล่าวคือ
เขามีความเห็นว่าองค์ประกอบทุกส่วนนี้จะร่วมกันเพื่อที่จะสร้างองค์อินทรีย์ที่ดีขึ้นมา รัฐก็เหมือนกับร่างกาย จะเจริญรุ่งเรืองก็ต่อเมื่อทุกๆส่วนมีความสมบูรณ์ดี ผู้เขียนเห็นสอดคล้องกับทัศนะนี้ เพราะผู้เขียนเห็นว่าถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของรัฐทำในเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร ก็เหมือนกับว่ารัฐนั้นเจ็บป่วย ถ้าเอาแนวคิดนี้มามองดูประเทศไทยในทุกวันนี้ เราก็อาจจะเห็นได้ว่าในร่างกายที่เราอาศัยอยู่นั้น ล้วนแล้วแต่มีเซลล์มะเร็งแฝงอยู่เป็นจำนวนมากเป็นแน่ มันจึงอยู่กับคนไทยด้วยกันเองว่าต้องการที่จะนำพาประเทศไปในทิศทางใด...