วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม กับ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย
ท่านปรีดี พนมยงค์ เกิดที่จังหวัดอยุธยา จากครอบครัวที่มีอันจะกินและมีการศึกษา บิดาเป็นเจ้าหน้าที่อนามัยที่มีความคิดที่นำสมัย มียายอบรมเลี้ยงดูซึ่งเป็นคนหัวโบราณ ท่านจึงได้สัมผัสกับความคิดที่ขัดแย้งระหว่างความคิดเก่ากับความคิดใหม่ตั้งแต่เด็ก ยายเป็นคนเคร่งศาสนาจึงปลูกฝังให้เห็นความสำคัญของศาสนา และที่โรงเรียนท่านได้ซึมซับแนวความคิดสมัยใหม่จากครุที่มาจากชนชั้นกลางที่เริ่มสงสัยและถามเกี่ยวกับอำนาจอันชอบธรรมของพระมหากษัตริย์ ความคิดก้าวหน้าของเขาได้มาจากการศึกษาแนวความคิดตะวันตกเมื่อตอนไปศึกษากฎหมายและเศรษฐศาสตร์ที่ฝรั่งเศส และที่นี่เขาได้รับแนวคิดของมาร์กซ์และเองเกลส์ด้วย
ท่านปรีดีแตกต่างจากสมาชิกคณะราษฎร เพราะท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้ศึกษาเศรษฐศาสตร์อย่างลึกซึ้ง และเป็นผู้เดียวที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับผลของการพัฒนาทางเศรษฐกิจต่อการดำรงชีวิตของคนในแต่ละวัน ท่านปรีดีได้ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจขึ้นมาตามคำทาบทามของคณะราษฎร โดยท่านมีจุดมุ่งหมายเพื่อวางแนวทางให้สังคมไทย และเพื่อกำจัดการเอารัดเอาเปรียบประชาชนที่มีมาเป็นเวลานาน
รายละเอียดเค้าโครงเศรษฐกิจ
1. ให้รัฐบาลเข้าทำการควบคุมเศรษฐกิจทั้งระบบและเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในทุกๆส่วน โดยมีหน่วยเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานก็คือสมาคมสหกรณ์ที่บริหารโดยรัฐบาล
2. ให้รัฐบาลประกันสวัสดิภาพสังคม (ประกันสังคม) ให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศ
3. ให้รัฐแจกจ่ายเงินให้ประชาชนเพื่อหาซื้อสิ่งของที่จำเป็นในการดำรงชีวิต
4. เงินที่นำมาให้ประชาชนได้มากจากการที่รัฐบาลควบคุมระบบเศรษฐกิจ 3 อย่าง คือ ที่ดิน แรงงาน เงินทุน
5. ให้รัฐซื้อที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ทั้งประเทศ โดยให้รัฐออกพันธบัตรรัฐบาลให้มีค่าเท่ากับราคาที่ดินที่ซื้อ
6. ให้รัฐบาลใช้ระบบสหกรณ์ในการทำนา เพื่อให้ชาวนาร่วมมือกันทำนา และให้รัฐบาลซื้อเครื่องจักรเพื่อให้ชาวนาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. รัฐบาลควบคุมแรงงานทั้งประเทศ โดยให้ทุกคนเป็นข้าราชการ ยกเว้นผู้มีอาชีพอิสระ เช่น หมอ ทนาย นักเขียน และครู
8. รัฐดำเนินการในเรื่องธนาคาร การคมนาคมขนส่ง รวมทั้งการอุตสาหกรรมเอง เพื่อตัดพ่อค้าคนกลางหรือนายทุนที่แสวงหากำไรออก
เค้าโครงเศรษฐกิจนี้เมื่อนำมาเสนอและเผยแพร่ ก็ได้ทำให้เกิดมีความคิดแตกแยกในหมู่ผู้นำคณะราษฎร โดยเฉพาะพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีได้คัดค้านเค้าโครงเศรษฐกิจนี้อย่างเต็มที่ โดยวิจารณ์ว่า เป็นแนวความคิดแบบโน้มเอียงไปทางระบอบคอมมิวนิสต์ ไม่สามารถที่จะยอมรับให้นำมาใช้กับเมือง กับฝ่ายที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ได้แก่ กลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน สำหรับรัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชวินิจฉัยไม่เห็นด้วย เพราะทรงเห็นว่าเค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวริดรอนเสรีภาพของประชาชน และจากเรื่องนี้ทำให้รัฐบาลตราพระราชบัญญัติที่ว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2475 เพื่อเอาความผิดกับผู้สนับสนุนแนวคิดลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าเป็นการพูด เขียน หรือวิธีการใดๆก็ตาม จนท่านปรีดีต้องเดินทางออกนอกประเทศไทย
ในความคิดของผู้เขียน ผู้เขียนก็เห็นด้วยกับพระราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ 7 ผู้เขียนเห็นว่าการที่รัฐบาลจะบังคับเอาที่ดินทั้งหมดของประชาชนแล้วจ่ายค่าตอบแทนเป็นพันธบัตรรัฐบาลแทนนั้น แลดูเหมือนการบังคับริดรอนต่อสิทธิของประชาชนจนเกินไป แต่ทั้งนี้ผู้เขียนก็มีความคิดว่าท่านปรีดีนั้น มีเจตนาที่ดีที่จะมุ่งหวังให้สภาพทางเศรษฐกิจของประเทศดำเนินไปในทางที่ดีกว่าเดิม เป็นการช่วยประชาชนที่มีฐานะยากไร้ ต้องการที่จะมุ่งหวังให้เกิดความเท่าเทียมกันของประชาชน เห็นได้จากนโยบายในรูปแบบทางเศรษฐกิจและการที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะได้เป็นข้าราชการซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติและมั่นคงในสังคมขณะนั้น และจากเค้าโครงเศรษฐกิจของท่านปรีดี เราก็ยังจะเห็นได้ว่าแนวคิดของท่านปรีดีนั้นจะไม่นิยมการแข่งขันแบบทุนนิยม ท่านมีเป้าหมายเช่นเดียวกับมาร์กซ์ กล่าวคือ ต้องการพัฒนาให้คนเป็นคนโดยสมบูรณ์ และให้ความสำคัญทางเศรษฐกิจมากกว่าการเมือง แต่แนวคิดของท่านปรีดีนั้นต่างจากแนวคิดของมาร์กซ์ในส่วนหนึ่ง นั้นก็คือ ท่านปรีดีจะให้ความสำคัญกับศาสนาด้วย
แนวคิดทางเศรษฐกิจของท่านปรีดีนั้นเป็นแนวคิดที่ดี มีความล้ำหน้าทางความคิด เป็นแนวคิดที่ต้องการให้เกิดเสถียรภาพในทางเศรษฐกิจ แต่ผู้เขียนก็คิดว่าเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยจนเกินไป เพราะในสังคมขณะนั้นเพิ่งเปลี่ยนแปลงทางการปกครองมาได้ไม่นาน แล้วแนวคิดเค้าโครงเศรษฐกิจของท่านปรีดีก็แลดูเป็นความคิดที่อยู่ในอีกขั่วของสังคม เหมือนเป็นการปรับเปลี่ยนที่เร็วและแรงจนเกินไป ถ้าค่อยๆปรับค่อยๆแก้ไปที่ล่ะช่วง อาจจะส่งผลดีกว่าที่จะแก้ไขทั้งระบบในคราวเดียวก็เป็นได้ ในส่วนของข้อพิสูจน์ที่ว่าแนวความคิดของท่านปรีดีก้าวหน้าเกินยุคสมัยที่มีการนำมาใช้ในปัจจุบันนี้ก็คือ การตั้งธนาคารแห่งชาติ การตั้งสหกรณ์การเกษตร การที่รัฐบาลควบคุมผูกขาดการทำป่าไม้ การสาธารณูปโภค การคมนาคมขนส่ง การประกันสังคม
บทบาทและความสำคัญของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ ท่านปรีดี พนมยงค์ นั้นมีมากหลาย ทั้งเป็นผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน เป็นนายกรัฐมนตรี 3 สมัย เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆอีกหลายสมัย เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นผู้ดูแลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ขณะทรงพระเยาว์ อีกทั้งยังเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 และยังได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯยกย่องในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส" ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่มีเกียรติ แต่ด้วยผลจากเหตุการณ์ทางการเมืองจากกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 บทบาททางการเมืองของท่านปรีดีและกลุ่มการเมืองในสายของท่านก็หมดบทบาทลง ส่งผลให้ท่านปรีดีต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ และสุดท้ายก็ถึงแก่อสัญกรรมที่ต่างประเทศในที่สุด
โดยส่วนตัวของผู้เขียน ผู้เขียนคิดว่าการที่ประเทศไทยของเรานั้นเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475 นั้นเร็วจนเกินไป เพราะผู้เขียนเห็นว่าประชาชนชาวไทยนั้นดูเหมือนจะยังไม่มีความพร้อมที่จะเป็นประชาธิปไตย ยังขาดซึ่งความรู้ความเข้าใจในสิทธิหน้าที่ และความรับผิดชอบของตนในการปกครอง หลังจากที่คณะราษฎรยึดอำนาจการปกครองแล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วนั้น ประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะคณะราษฎรนั้นหลงยึดติดกับอำนาจ และกอบโกยผลประโยชน์เข้าสู้ตนและพวกพ้อง จนเหมือนกับที่คนพูดกันไว้ว่า คณะราษฎรนั้นเมื่อมีโอกาสได้มีอำนาจก็เป็นเหมือนกับเสือหิว ที่หิวตะกละในอำนาจของตน ส่วนประชาชนเองนั้นก็ไม่มีความพร้อมที่จะเข้าไปใช้สิทธิใช้เสียงของตนในการบริหารประเทศ และคณะราษฎรเองก็ไม่ได้สนใจที่จะสร้างความพร้อมให้กับประชาชนในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยเลย การปกครองในช่วงแรกหลังจาเปลี่ยนไปสู่ประชาธิปไตยแล้วนั้นเป็นการปกครองที่อยู่ในวังวนของการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์กันเองของกลุ่มผู้มีอำนาจที่จะทะยอยกันเข้ามาทำการปฏิวัติรัฐประหารกันอยู่เนื่องๆ (เขียนไป เขียนมา ชักไม่แน่ใจว่าเป็นแค่ช่วงแรกๆหรือเป็นจนถึงทุกวันนี้ (-__-) ) ท่านปรีดีเองเป็นคนที่พยายามจะทำเพื่อผลประโยชน์และความเสมอภาคของประชาชน แต่ท่านก็ได้ตกอยู่ในเกมส์วังวนในกระแสการเมืองของไทย จนต้องลี้ภัยออกนอกประเทศในที่สุด ..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้เขียนกลับเห็นถึงความแตกต่างกับคนในช่วงเวลานี้ ที่หนีไปเพียงเพื่อหลีกหนีความผิดของตน..
หลังจากที่ประเทศไทยของเราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระยะเวลา 70 กว่าปี (เกือบๆ80ปี) เพียงแค่70กว่าปีนั้นประชาธิปไตยของไทยเราก็มีเหตุการณ์สูญเสียเลือดเนื้อของประชาชนที่ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ถึง 3 ครั้งใหญ่ๆด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์มหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ..6 ตุลาคม 2519 ..จนถึง พฤษภาทมิฬ 2535 ..เหตุการณ์ในแต่ละครั้งส่งผลให้เกิดผู้บาดเจ็บ สูญหาย และล้มตายจำนวนมาก (สองครั้งที่สามารถยุติลงได้ด้วยเพราะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ..อ่านเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ทีไร น้ำตาซึมแทบทุกครั้ง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์) เหตุการณ์นองเลือดเหล่านี้เกิดขึ้นในยุคสมัยของประชาธิปไตย ซึ่งในยุคสมบูรณาญาสิทธิราช ที่พระมหากษัตริย์จะมีอำนาจสิทธิขาดในการปกครองประเทศ และเป็นเจ้าชีวิตของประชาชน มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย ก็ยังไม่เคยปราบปรามฆ่าฟันประชาชนเหมือนในยุคประชาธิปไตยหลัง พ.ศ. 2475 นี้เลย
สุดท้าย..
แรกเริ่มนั้น เมื่อท่านอาจารย์ได้ถามในชั้นเรียนว่า รู้จักหลวงประดิษฐ์มนูธรรมหรือไม่ ผู้เขียนนั้นรู้สึกคุ้นชื่อ แต่ไม่มั่นใจนักว่าเป็นผู้ใด เพราะคุณหลวงคนเดียวที่ผู้เขียนรู้จักและชื่นชอบยิ่งนักคือ หลวงอัครเทพวรากร ..คุณหลวงของแม่มณี ตัวละครเอกในทวิภพนั้นเอง (คริคริ)
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ความยุติธรรม ..
ในเรื่องของความยุติธรรมนั้น ความหมายและกฏเกณฑ์ของความยุติธรรมของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับทัศนคติของคนผู้นั้นว่ามองเรื่องของความยุติธรรมจากแง่มุมไหน
ทัศนะของเพลโตเกี่ยวกับคำว่า "ความยุติธรรม" ทั้งในส่วนของปัจเจกชนและของรัฐนั้นปรากฏอยู่ในหนังสือ อุตมรัฐ (The Repubic) ที่เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นเพื่อที่จะเสนอความหมายของคำว่าความยุติธรรม
เพลโตเห็นว่า ความยุติธรรมคือผลของการแบ่งแยกชนชั้นและการแบ่งหน้าที่ เป็นสิ่งที่พันธนาการสังคมให้คงไว้ ทำให้เกิดความกลมกลืนในการรวมกลุ่มกันอยู่ของมนุษย์ในสังคม โดยที่แต่ล่ะคนได้ปฏิบัติภารกิจสอดคล้องกับความสามารถตามธรรมชาติของเขา หรือจากที่เขาได้รับการอบรมมา ซึ่งความยุติธรรมนั้นจะเป็นทั้งคุณธรรมของสาธารณะและของบุคคล เพลโตแบ่งแยกความหมายของความยุติธรรมออกเป็น 2 นัย คือ
ความยุติธรรมของบุคคล เพลโตแบ่งชนชั้นในสังคมออกเป็น 3 ชนชั้น คือ
1. ผู้ปกครอง
2. เจ้าหน้าที่ ได้แก่ ทหารและข้าราชการ
3. ผู้ผลิต ได้แก่ ชาวนา พ่อค้า ช่างฝีมือ
เพลโตอธิบายว่า จิตใจของคนนั้นประกอบด้วยคุณธรรมประจำจิต 3 อย่าง คือ ตัณหา ความกล้าหาญ และเหตุผล โดยในดวงจิตแต่ล่ะดวงนั้น จะถูกครอบงำโดยคุณธรรมอย่างหนึ่งมากกว่าอีกสองอย่างเสมอ
- ถ้าจิตของผู้ใดถูกครอบงำด้วยเหตุผล เขาผู้นั้นเหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองวึ่งมีจำนวนน้อยที่สุด
- ถ้าจิตของผู้ใดถูกครอบงำด้วยความกล้าหาญ หน้าที่ของเขาก็ควรจะเป็นทหาร
- ถ้าจิตของผู้ใดถกครอบงำด้วยกิเลสตัณหา ก็ควรจะทำหน้าที่เป็นผู้ผลิต ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด
เพลโตเห็นว่า ความยุติธรรมจะปรากฎขึ้นหรือมีขึ้นในบุคคลก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นรู้จักความอดทนอดกลั้น ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ทำให้ยอมรับสภาพความสามารถของตน และแสดงบทบาทคุณธรรมประจำจิตของตนเท่านั้น
ความยุติธรรมของรัฐ
เพลโตเห็นว่า รัฐมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับจิต คุณธรรมแห่งรัฐ คือ ปัญญา ความกล้าหาญ และ ขันติ ความยุติธรรมของรัฐจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อองค์ประกอบของรัฐทั้ง 3 ได้แสดงออกมาอย่างเหมาะสมคือ องค์ประกอบส่วนน้อยที่สุดของรัฐที่เป็นผู้เฉลียวฉลาดควรเป็นผู้ปกครอง องค์ประกอบส่วนน้อยรองลงมาของรัฐที่มีความกล้าหาญควรเป็นทหาร และองค์ประกอบส่วนใหญ่ที่สุดของรัฐควรเป็นผู้ผลิต
ผู้เขียนนั้นชอบทัศนคติความเห็นเรื่องความยุติธรรมของเพลโต เพราะผู้เขียนเองก็เห็นว่าในสังคมของคนเรานั้น ยังมีบางสิ่งที่สำคัญกว่าเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล เพลโตนั้นเชื่อว่ารัฐที่ดีที่สุดคือรัฐที่มีความยุติธรรมเป็นหัวใจหลักของรัฐ แต่ความยุติธรรมตามความเห็นของเพลโตนั้นไม่ใช่ความยุติธรรมที่ขึ้นอยู่กับตัวบทของกฎหมาย แต่เป็นความยุติธรรมที่ดูจากการทำหน้าที่ของคนในรัฐว่าเหมาะสมกับความสามารถของเขาหรือไม่ รัฐจะมีความสงบได้ก็ต่อเมื่อรัฐได้จัดสรรหน้าที่ให้กับคนในรัฐตามความเหมาะสม ...ท่านพุทธทาสภิกขุ ปราชญ์ชาวไทยคนสำคัญเองก็มีมุมมองความคิดเกี่ยวกับการเมืองไว้ว่า อุดมคติสูงสุดของสังคมการเมืองไม่ใช่สิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคล หากแต่คือหน้าที่ ท่านเห็นว่าคนทุกคนมีหน้าที่ที่เหมาะสมกับตัวเอง ถ้าทุกคนปฏิบัติหน้าที่โดยไม่บกพร่องแล้ว มันก็จะเป็นสิ่งที่หนุนส่งซึ่งกันและกัน เปรียบได้กับอวัยวะต่างๆในร่างกายของเราที่ต่างก็ทำงานประสานกัน ท่านพุทธทาสกับเพลโตจึงมีความเห็นที่คล้ายคลึงกันในเรื่องที่เชื่อว่า สังคมจะสงบสุขไม่ได้หากสมาชิกของสังคมไม่รู้จักหน้าที่ของตนเอง ผู้เขียนเองก็เห็นว่าถ้าคนในสังคมรู้จักและเคารพในหน้าที่ของตน สังคมก็ย่อมที่จะมีแต่ความสงบ แต่ในทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ยึดติดกับเรื่องของวัตถุ อำนาจ ชื่อเสียง ตกเป็นทาสของเงินตรากันเกือบทั้งหมด จะมีใครเล่าที่มัวแต่ยึดติดกับหน้าที่ ยิ่งคนเรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเห็นแก่ตัวแฝงอยู่ในจิตใจอยู่แล้ว สิ่งใดที่จะนำพามาซึ่งผลประโยชน์ คนๆนั้นก็อาจจะหลงลืมถึงหน้าที่ และละเลยถึงคุณธรรมไปเลยก็ได้
ในทุกวันนี้ความยุติธรรมที่ขึ้นอยู่กับหน้าที่ที่เหมาะสม ยึดมั่นต่อหน้าที่ของตนนั้นดูจะเป็นไปได้ยาก ถ้าหาความหมายของความยุติธรรมในทุกวันนี้คงจะเป็นความหมายที่คลุมเคลือ เพราะคนส่วนใหญ่ยึดมั่นในผลประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ อาจจะพูดได้ว่าความยุติธรรมเป็นเรื่องของผลประโยชน์เลยก็ว่าได้ ถ้าใครได้รับผลประโยชน์คนๆนั้นก็จะบอกว่าเขาได้รับความยุติธรรม แต่ถ้าใครไม่ได้รับหรือได้รับผลประโยชน์น้อยกว่าก็จะบอกว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรม ความยุติธรรมจึงเป็นเรื่องของความพึงใจของแต่ล่ะคนเสียมากกว่า
ดูเหมือนสุดท้ายความยุติธรรมที่ดูจะมีบรรทัดฐานเท่าเทียมกันที่มนุษย์ทุกคนจะได้รับก็คือ ความตาย
ใครเล่าที่จะหนีความตายได้พ้น ความตายจึงเป็นสิ่งที่ยุติธรรมกับมนุษย์ทุกคนแล้ว
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
รัฐในอุดมคติ ..
1. เพลโตเชื่อว่ารัฐที่ดีที่สุดคือรัฐที่มีความยุติธรรมเป็นหัวใจหลักของรัฐ นั่นคือ คนในรัฐทุกคนทำหน้าที่ตามที่ของตน โดยไม่ก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน
2. เพลโตกำหนดให้ราชาปราชญ์ (Philosopher King) ผู้ที่ทรงปัญญา รู้ซึ้งถึงความจริงเป็นผู้ปกครองรัฐ เพราะเพลโตเห็นว่าการเมืองเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่จะรู้ซึ้ง และเข้าถึงศิลปะแห่งการเมืองได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรูอย่างดีเลิศ และในการปกครองนั้นจะต้องใช้ความรู้ในหลักการปกครองด้วย ซึ่งผู้ทรงปัญญาก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้โดยใช้เหตุผล
3. เพลโตมีความเชื่อมั่นในตัวของนักปรัชญามาก เพราะเขาเห็นว่านักปรัชญาคือผู้ที่กระหายที่จะได้มาซึ่งความรู้อย่างไม่มีวันจบสิ้น จึงทำให้เขาเห็นว่านักปรัชญาเท่านั้นที่จะมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะเป็นผู้ปกครองและนำความยุติธรรมมาสู่รัฐได้
4. รัฐในอุดมคติอาจจะปกครองในระบบราชาธิปไตย หรืออภิชนาธิไตยก็ได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้ปกครอง ถ้าปกครองโดยราชาปราชญ์เพียงองค์เดียวก็เป็นราชาธิปไตย แต่ถ้าปกครองโดยคณะราชาปราชญ์ก็จะกลายเป็นอภิชนาธิปไตย
5. รัฐในอุดมคติตามจุดประสงค์ที่แท้จริงของเพลโตนั้น เขาต้องการให้อำนาจในการปกครองขึ้นอยู่กับคณะหรือกลุ่มบุคคลจำนวนพอสมควร มากกว่าที่จะขึ้นอยู่กับคนเพียงคนเดียวหรือสองสามคน เพราะเพลโตเห็นว่า การปกครองโดยคนๆเดียวหรือสองสามคน อาจจะร่วมกันใช้อำนาจไปในทางที่ไม่สุจริต กดขี่ประชาชนและแสวงหาประโยชน์เข้าตัวเองได้
6. หลักเกี่ยวกับการศึกษาในรัฐในอุดมคติของเพลโตนั้น จะเป็นระบบการศึกษาที่มุ่งมั่นที่จะให้เป็นเครื่องมืออบรม และเลือกหาว่าคนในรัฐแต่ละคนเหมาะสมกับหน้าที่อะไร โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ กล่าวคือ
- การศึกษาขั้นต้น เป็นการให้การศึกษาแก่คนทุกคนในแบบบังคับไปจนถึงอายุ 18 ปี และต่อด้วยการฝึกอบรมทางทหารอีก 2 ปี โดยการศึกษาขั้นต้นนี้จะเน้นไปที่พลศึกษาและดนตรีเป็นสำคัญ การเรียนพลศึกษานั้นมุ่งเน่นที่จะปลูกฝังความกล้าหาญ ส่วนการเรียนดนตรีนั้นไม่ได้หมายถึงการดีด สี ตี เป่า แต่มุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้โคลงกลอนและวรรณคดีต่างๆ
- การศึกษาขั้นที่ 2 กำหนดไว้สำหรับผู้ที่ผ่านการศึกษาขั้นแรกมาแล้ว โดยจะใช้เวลาศึกษาต่ออีก 15 ปี แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ
- ช่วงแรก อายุ 20-30 ปี จะศึกษาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์เบื้องต้นไปจนถึงขั้นสูงสุด และเรียนดาราศาสตร์ด้วย ถ้าสอบไม่ผ่าน ต้องออกมาเป็นพวกทหารปกป้องรัฐ ซึ่งถือว่ามีจิตใจที่ครอบงำไปด้วยความกล้าหาญ
- ช่วงที่สอง ผู้ที่สอบผ่านในรอบแรกมาได้ก็จะใช้เวลาศึกษาต่ออีก 5 ปี เพื่อศึกษาวิชาปรัชญา โดยเน้นการแสวงหาคุณงามความดีและสัจธรรม เพื่อเตรียมตัวจะเป็นผู้ปกครองต่อไป
7. เพลโตได้วางกฎเกณฑ์ไว้ว่า ชนชั้นผู้ปกครองและชนชั้นนักรบจะต้องไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวและห้ามการมีครอบครัว เพราะเพลโตเห็นว่าถ้าชนชั้นสูงดังกล่าวได้ใช้ชีวิตเช่นเดียวกับคนทั่วไปแล้ว จะทำให้เกิดการแก่งแย่งอำนาจทางการเมืองในหมู่ชนชั้นสูงดังกล่าว
8. เพลโตกำหนดห้ามไม่ให้ชนชั้นปกครองและชนชั้นนักรบมีความสัมพันธ์ในฐานะครอบครัว (พ่อ แม่ ลูก) แต่การประเวณีจะมีได้เป็นครั้งคราว เพื่อที่จะได้มาซึ่งพันธุ์ที่ดีที่สุดเท่านั้น โดยเด็กที่เกิดมาภายใต้การควบคุมนี้จะอยู่ในความเลี้ยงดูของรัฐ
9. ในรัฐอุดมคติ เพลโตยอมที่จะให้มีการคุมกำเนิด การทำแท้ง และการทำลายทารก ตลอดจนการทอดทิ้งคนที่เจ็บป่วยเรื้อรังและไม่แข็งแรงได้ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการคมขนาดและคุณภาพของประชาชนนั่นเอง
10. เพลโตยอมรับความเสมอภาคระหว่างชายและหญิง เพลโตมีความเห็นว่าความแตกต่างระหว่างสองเพศนี้อยู่ตรงที่ว่า ชายเป็นเหตุแห่งการกำเนิด ในคณะที่หญิงเป็นผู้ให้กำเนิดเท่านั้น นอกจากนี้ธรรมชาติได้สร้างให้ทัดเทียมกันทุกอย่าง ถึงแม้ว่าหญิงอาจจะมีกำลังอ่อนแอกว่าก็ตาม ดังนั้นผู้หญิงจึงมีโอกาสเป็นผู้ปกครองหรือนักรบได้ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความสมารถเหมาะสมกับหน้าที่นั้นๆ
11. เพลโตจงใจที่จะไม่ให้มีกฎหมายในรัฐอุดมคติ เพลโตถือว่าเมื่อกำหนดไว้แล้วว่าผู้ปกครองคือราชาปราชญ์ ผู้มีความรอบรู้และเฉลียวฉลาดอย่างดีเลิศ ความจำเป็นในเรื่องกฎหมายก็จะหมดไป แต่ถ้ายังมีการกำหนดกฎหมายขึ้นมาอีกก็จเท่ากับเป็นการวางกรอบให้ราชาปราชญ์ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้รับจากความเฉลียวฉลาดของราชาปราชญ์ก็ย่อมหมดไปด้วย
12. การที่กำหนดราชาปราชญ์เป็นผู้ปกครองก็เพื่อว่าเขาจะได้ใช้ความรู้นำไปสู่สันติสุข ราชาปราชณ์เท่านั้นที่จะรู้ว่า ควรจะปกครองหรือนำรัฐไปในทางใดในสภาพแวดล้อมซึ่งสับสนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
...
จากสรุปแนวคิดเกี่ยวกับรัฐในอุดมคติของเพลโตนั้น เราจะเห็นได้ว่าเพลโตได้วางกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างเข้มงวดไว้มากอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการครอบครองทรัพย์สินของชนชั้นปกครองและชนชั้นนักรบ เรื่องของความสัมพันธ์ในฐานะครอบครัว ตลอดจนเรื่องที่ใครหลายๆคนอาจจะมองดูว่าโหดร้าย อย่างเรื่องการทำลายทารก การทอดทิ้งคนที่เจ็บป่วยเรื้อรังและไม่แข็งแรง สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริงในยุคปัจจุบัน ที่เน้นในเรื่องการเชิดชูสิทธิและเสรีภาพอย่างออกนอกหน้า
แต่รัฐในอุดมคติของเพลโตนั้น ก็มีความคิดที่ก้าวหน้าอยู่ เพลโตได้วางหลักเกี่ยวกับการศึกษาไว้ในรัฐในอุดมคติของเขา การศึกษาในความคิดของเพลโตเป็นการศึกษาเพื่อมุ่งเน้นที่จะคัดกรองประชาชนในรัฐว่าควร ว่าเหมาะกับหน้าที่อะไร การศึกษาจะช่วยทำให้คนในรัฐได้พบกับหน้าที่ที่ตนควรที่จะทำ อีกทั้งแนวคิดเกี่ยวกับสตรีของเพลโตก็มีความก้าวหน้ามาก ถ้าดูจากในยุคสมัยของเขา(และหลายๆสมัยต่อๆมา)ที่สตรีเป็นได้แค่เพียงพลเมืองชั้นสองรองจากบุรุษ เพศหญิงในรัฐอุดมคติของเพลโตมีความเท่าเทียมและเสมอภาคกับเพศชาย ผู้หญิงสามารถจะทำหน้าที่ได้เช่นเดียวกับชาย ถ้าหญิงนั้นสามารถที่จะพิสูจนืในความสามารถที่เธอมีให้เป็นที่ประจักษ์ได้
รัฐในอุดมคติของเพลโต ถ้ามองในแง่มุมของปัจจุบันอาจจะเป็นสิ่งที่ดูเข้มงวด และวางกรอบกฏเกณฑ์ต่างๆไว้อย่างมากมาย มากจนดูเหมือนกับการบังคับและกีดกันสิทธิของคนในรัฐจนเกินไป เป็นเหมือนกับการใช้ชีวิตในแบบรัฐทหาร แต่ถ้ารัฐในอุดมคตินี้เกิดขึ้นมาได้ ก็จะเป็นรัฐที่มีระเบียบและคงไว้ซึ่งระบบ แต่ก็คงจะเป็นการยากที่จะหาราชาปราชญ์ที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและความรู้มาเป็นผู้ปกครองได้ เพราะผู้เขียนคิดว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชิวิตที่มีความเห็นแก่ตัวแฝงอยู่ มาก-น้อย อาจจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์ผู้นั้นจะใช้เหตุผลแห่งคุณธรรมได้มากแค่ไหน การที่จะหาราชาปราชญ์ที่คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของรัฐเพียงอย่างเดียว คงจะเป็นการยาก ยากจนเหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยก็เป็นได้
...
ส่วนรัฐในอุดมคติของผู้เขียนนั้น ผู้เขียนเห็นว่าคนในรัฐควรที่จะดำเนินชีวิตไปตามหลักแห่งธรรม ในทางพุทธศาสนาเองก็มองว่า ธรรม เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจำแนกคนว่ามีความต่างกันหรือไม่ ความเสมอภาคในทางพุทธศาสนา ก็ยังหมายถึงความเสมอภาคในการประพฤติธรรม ไม่ใช่ความเสมอภาคในความสามารถ สติปัญญา หรือหน้าที่ คนที่แตกต่างกันนั้นไม่ใช่ขึ้นอยู่กับสีผิว ชาติตระกูล ชั้นวรรณะ หรือ เชื้อชาติ แต่ขึ้นอยู่กับธรรมของคนแต่ละคนมากกว่า ว่ามีมากน้อยเพียงใด ผู้เขียนเห็นว่า ธรรม เป็นเครื่องนำพาชีวิต ถ้าคนในรัฐยึดมั่นในคุณธรรม รัฐก็จะมีหนทางนำไปสู่สิ่งที่ดีได้ อีกทั้งหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ก็สามารถนำมาใช้กับผู้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันได้ด้วย พระมหากษัตริย์ของไทยก็ทรงปฏิบัติตามหลักธรรมสำหรับผู้ปกครองอยู่แล้ว เพราะทรงปฏิบัติตามคำสอนในพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด แต่สำหรับผู้มีอำนาจที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทน ตลอดจนข้าราชาการระดับสูงต่างๆ ก็ควรที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ในเรื่องผู้ปกครองที่ดีที่ปกครองโดยธรรมด้วย ถ้าผู้นำทางการเมืองทุกระดับเป็นผู้ทรงธรรม มีหลักธรรม อยู่ประจำใจ และประพฤติปฏิบัติตัวตามหลักธรรมอยู่เสมอ มีอำนาจอยู่คู่คุณธรรม ไม่ใช่มีอำนาจอยู่คู่เงินตรา แล้วการเมืองก็จะเป็นเรื่องคุณธรรมไม่ใช่การเมืองที่มีแต่เรื่องสกปรก เต็มไปด้วยเรื่องทุจริต ประพฤติมิชอบ ซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันมากมายอย่างทุกวันนี้
ผู้เขียนยังชอบทัศนะความคิดของจอห์นแห่งซัลส์เบอรี่ (John of Salsbury) ที่เปรียบเทียบว่ารัฐนั้นเปรียบเสมือนร่างกายของมนุษย์ กล่าวคือ
เขามีความเห็นว่าองค์ประกอบทุกส่วนนี้จะร่วมกันเพื่อที่จะสร้างองค์อินทรีย์ที่ดีขึ้นมา รัฐก็เหมือนกับร่างกาย จะเจริญรุ่งเรืองก็ต่อเมื่อทุกๆส่วนมีความสมบูรณ์ดี ผู้เขียนเห็นสอดคล้องกับทัศนะนี้ เพราะผู้เขียนเห็นว่าถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของรัฐทำในเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร ก็เหมือนกับว่ารัฐนั้นเจ็บป่วย ถ้าเอาแนวคิดนี้มามองดูประเทศไทยในทุกวันนี้ เราก็อาจจะเห็นได้ว่าในร่างกายที่เราอาศัยอยู่นั้น ล้วนแล้วแต่มีเซลล์มะเร็งแฝงอยู่เป็นจำนวนมากเป็นแน่ มันจึงอยู่กับคนไทยด้วยกันเองว่าต้องการที่จะนำพาประเทศไปในทิศทางใด...
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
พัฒนาการทางการเมืองของไทย
สภาพการเมืองของไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทหารเป็นส่วนใหญ่ เพราะสถาบันทหารอยู่คู่กับประเทศ มีความใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์มาแต่อดีต และยังมีความเป็นปึกแผ่น มีระเบียบวันัย แล้วยังมีกำลังและอาวุธที่สามารถใช้เพื่อการมีอำนาจทางการเมืองได้โดยตรง อีกทั้งความล้มเหลวของสถาบันต่างๆในระบอบประชาธิปไตยมักจะปรากฎให้เห็นบ่อยครั้ง จึงส่งผลให้ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองของประเทศอยู่ตลอดเวลา
การต่อต้านอำนาจของฝ่ายทหารในการเมืองของไทย ที่นำไปสู่การเรียกร้องการปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดขึ้นหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น "วิกฤติการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516" จนถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 (พฤษภาทมิฬ) เหตุการณ์ทั้งสองช่วงเวลานั้นทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้เรียกร้องประชาธิปไตยจำนวนมาก แต่เหตุแรงร้ายเหล่านี้ก็ยุติลงได้ด้วยพระบารมีและบทบาทของพระเจ้าอยู่หัว ผู้ที่เป็นที่พึ่งและศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ
แต่..การที่ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองหลายครั้งนั้น ใช่ว่าจะเป็นเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตน แต่เป็นเพราะการคำนึงถึงประเทศชาติเสียมากกว่า จากสภาพการณ์ดังเช่นนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าเป็นสภาพการณ์ที่ผิดไปจากหลักทางความคิดของประชาธิปไตยตะวันตก แต่ที่เป็นเช่นนั้น เราก็ไม่อาจสรุปได้ว่าสิ่งที่เป็นมาใช่ว่ามันจะไม่เป็นผลดี